มีคำถามว่า คำว่าสัตบุรุษ
คำตอบ ต้องปฏิบัติให้ได้เนวสัญญาฯ ที่เป็นสัมมาสมาธิ
ทำต่อเนื่องจนกระทั่งได้มรรคผลตามลำดับ ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้
วิชชา ๑
วิชชา ๒
วิชชา ๓
แล้วบุคคลที่ปฏิบัติมีกำลังสมาธิต่ำกว่าเนวสัญญาฯ
จะเรียกว่าอะไร
ก็เรียกตามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ว่า
พระโสดาบัน สกทาคามี อนาคมมี อรหันต์
ทุกๆคำที่เรียกที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ มีเรื่องของอินทรีย์ ๕
โดยเฉพาะสมาธินทรีย์และปัญญินทรีย์ มาเกี่ยวข้อง
ปัญญิณทรีย์ในที่นี้ ได้แก่ แจ้งอริยสัจ ๔ ตามจริง ไม่ใช่จากการท่องจำ
จะเป็นความรู้เห็นที่มีเกิดขึ้นเฉพาะตน
คำว่าสัปบุรุษ คำว่าปริสบุคคล ก็มีลักษณะสภาวะที่มีเกิดขึ้นแตกต่างกัน
มีเรื่องของอินทรีย์ ๕ มาเกี่ยวข้อง
ก็เหมือนคำว่าปัญญาวิมุตติ อุภโตภาควิมุตติ
ก็มีเรื่องของินทรีย์ ๕ มาเกี่ยวข้อง
๗. อาณิสูตร
[๖๗๒] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี …
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว
ตะโพนชื่ออานกะของพวกกษัตริย์ผู้มีพระนามว่าทสารหะได้มีแล้ว
เมื่อตะโพนแตก พวกทสารหะได้ตอกลิ่มอื่นลงไป
สมัยต่อมาโครงเก่าของตะโพนชื่ออานกะก็หายไป ยังเหลือแต่โครงลิ่ม แม้ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุในอนาคตกาล
เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว
อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่
จักไม่ปรารถนาฟัง จักไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อรู้
และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียน ควรศึกษา
แต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์รจนาไว้
อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มีอักษรอันวิจิตร มีพยัญชนะอันวิจิตร
เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิต อยู่
จักปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้
และจักสำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน ควรศึกษา ฯ
[๖๗๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระสูตรเหล่านั้น
ที่ตถาคตกล่าวแล้วอันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ
ประกอบด้วยสุญญตธรรม จักอันตรธานฉันนั้นเหมือนกัน
เพราะเหตุดังนี้นั้น
เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว
อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่
พวกเราจักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้
และจักสำคัญธรรมเหล่านั้นว่า ควรเรียน ควรศึกษา ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ ฯ
พระสูตรนี้ พระพุทธเจ้าทรงรู้เห็นอนาคต
หลังพระองค์ทรงปรินิพพาน
จะมีสาวกได้แต่งคัมภีร์ขึ้นมาใหม่ เป็นเรื่องของสุญญตา
ที่สาวก ยังไม่แจ่มแทงแทงตลอดในตัวสภาวะ(อรรถะ) ตัวพยัญชนะ
ย่อมสำคัญผิด คิดว่าควรควรศึกษา
“เมื่อเขากล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์รจนาไว้
อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มีอักษรอันวิจิตร มีพยัญชนะอันวิจิตร
เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิต อยู่
จักปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้
และจักสำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน ควรศึกษา ฯ”
อันนี้มีจริงๆนะ ในปัจจุบันยังนำตำรานี้มาใช้สอนกันอยู่ แพร่หลาย
คำว่า สุญญตา ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึง
หมายถึงสภาวะของสัตบุรุษ ที่มีเกิดขึ้นตามจริง
ตั้งแต่แรกเริ่ม ปฏิบัติได้เนวสัญญาฯที่เป็นสัมมาสมาธิ
ทำต่อเนื่องจนกระทั่งได้โสดาปัตติผลตามจริง
แจ้งสุญญตาที่มีเกิดขึ้นในตน
คือละสักกายทิฏฐิที่มีเกิดขึ้นตามจริง เป็นสมุจเฉท ไม่มีกำเริบเกิดขึ้นอีก
ยังคงปฏิบัติต่อเนื่อง อินทรีย์ ๕ แก่กล้า บรรลุเร็ว วิชชา ๒ มีเกิดขึ้นตามจริง
ยังคงปฏิบัติต่อเนื่อง อินทรีย์ ๕ แก่กล้า บรรลุเร็ว วิชชา ๓ มีเกิดขึ้นตามจริง
วิมุตติญาณทัสสนะปรากฏตามจริง โดยตัวของสภาวะเอง
จะแจ่มแจ้งในพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้และบัญญัติไว้
ที่มาในรูปของพระสูตร
ลักษณะของสภาวะคำว่า สัตบุรุษ ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้
ประโยชน์ต่อตนและผู้อื่น
ด้วยการเข้าถึงวิชชา ๓ มีเกิดขึ้นตามจริง
โสดาปัตติผล วิชชา ๑ มีเกิดขึ้นตามจริง
ดับเฉพาะตน สอนได้เพียงศิล และสมาธิ ปัญญายังไม่กว้าง
อนาคามิผล วิชชา ๒ มีเกิดขึ้นตามจริง
ดับเฉพาะตน สอนได้เพียงศิล และสมาธิ ปัญญายังไม่กว้าง
อรหัตผล วิชชา ๓ มีเกิดขึ้นในตน
ดับเฉพาะตนและสามารถให้ผู้อื่นปฏิบัติตามได้ สามารถเข้าถึงวิชชา ๓ ได้
สีลปาริสุทธิ จิตตปาริสุทธิ ทิฏฐิปาริสุทธิ วิมุตติปาริสุทธิ
คือเป็นผู้ที่มีปัญญากว้าง
๕. มหาวรรค
ดูกรพยัคฆปัชชะทั้งหลาย
องค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียรเพื่อความบริสุทธิ์ ๔ ประการนี้
พระผู้มีพระภาค ผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตรัสไว้ชอบแล้ว เพื่อความหมดจดของสัตว์ทั้งหลาย
เพื่อก้าวล่วงความโศกและความร่ำไร
เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส
เพื่อบรรลุญายธรรม
เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน
องค์ ๔ ประการเป็นไฉน
คือ องค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียรเพื่อความบริสุทธิ์
คือ ศีล ๑ จิต ๑ ทิฐิ ๑ วิมุตติ ๑
ดูกรพยัคฆปัชชะทั้งหลาย
องค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียรเพื่อความบริสุทธิ์ ๔ ประการนี้แล
อันพระผู้มีพระภาค ผู้รู้ ผู้เห็น
เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตรัสไว้ชอบแล้ว
เพื่อความหมดจดของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วงความโศกและร่ำไร
เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน ฯ
อังคสูตร
[๑๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุผู้ละองค์ ๕ ได้แล้ว เป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๕
บัณฑิตเรียกว่า ผู้ประกอบด้วยคุณทั้งมวล
ผู้อยู่จบพรหมจรรย์ เป็นอุดมบุรุษ ในธรรมวินัยนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้ละองค์ ๕ ได้แล้วอย่างไร
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ละกามฉันทะได้แล้ว ๑
ละพยาบาทได้แล้ว ๑
ละถีนมิทธะได้แล้ว ๑
ละอุทธัจจกุกกุจจะได้แล้ว ๑
ละวิจิกิจฉาได้แล้ว ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุละองค์ ๕ ได้แล้วอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ อย่างไร
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ประกอบด้วยศีลขันธ์อันเป็นของพระอเสขบุคคล ๑
ประกอบด้วยสมาธิขันธ์อันเป็นของพระอเสขบุคคล ๑
ประกอบด้วยปัญญาขันธ์อันเป็นของพระอเสขบุคคล ๑
ประกอบด้วยวิมุตติขันธ์อันเป็นของพระอเสขบุคคล ๑
ประกอบด้วยวิมุตติญาณทัสสนขันธ์อันเป็นของพระอเสขบุคคล ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้ประกอบ ด้วยองค์ ๕ อย่างนี้แล
ภิกษุผู้เช่นนั้นสมบูรณ์ด้วยศีลอันเป็นของพระอเสขะ
ด้วยสมาธิอันเป็นของพระอเสขะ
ด้วยปัญญาอันเป็นของพระอเสขะ
ด้วยวิมุตติอันเป็นของพระอเสขะ
และด้วยวิมุตติญาณทัสสนะอันเป็นของพระอเสขะ
ภิกษุนั้นแล เป็นผู้ละองค์ ๕ สมบูรณ์ล้วด้วยองค์ ๕
ภิกษุนั้นแล บัณฑิตเรียกว่า ผู้ประกอบด้วยคุณทั้งมวลในธรรมวินัยนี้ ฯ
อธิบาย
“เป็นผู้ละกามฉันทะได้แล้ว ๑
ละพยาบาทได้แล้ว ๑”
ได้แก่ มีเกิดขึ้นในโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล
อัปปณิหิตวิโมกข์
ละสักกายทิฏฐิลงไปได้
โคตรภูญาณหรือมุดรู มีเกิดขึ้นตามจริง
วิมุตติปาริสุทธิเกิดตามจริง
วิชชา ๑ มีเกิดขึ้นตามจริง
แจ้งอริยสัจ ๔
ละกามตัณหาและวิธีการการดับกามตัณหา
สีลปาริสุทธิ
“ละถีนมิทธะได้แล้ว ๑
ละอุทธัจจกุกกุจจะได้แล้ว ๑”
ได้แก่ อนาคามิมรรค อนาคามิผล
สุญญตวิโมกข์ มีเกิดขึ้นตามจริง
ละอัตตานุทิฏฐิลงไปได้
สภาวะจิตดวงสุดท้ายปรากฏ เกิดขึ้นต่อ แล้วดับ
วิมุตติปาริสุทธิเกิดตามจริง
วิชชา ๒ มีเกิดขึ้นตามจริง
แจ้งอริยสัจ ๔
ละภวตัณหาและทำให้รู้วิธีการดับภวตัณหา
จิตตปาริสุทธิ
“ละวิจิกิจฉาได้แล้ว ๑”
ได้แก่ อรหัตมรรค อรหัตผล
อนิมิตตวิโมกข์ มีเกิดขึ้นตามจริง
ละอัตตวาทุปาทานลงไปได้
สภาวะจิตดวงสุดท้ายปรากฏ เกิดขึ้นต่อ แล้วดับ
วิมุตติปาริสุทธิเกิดตามจริง
วิชชา ๓ มีเกิดขึ้นตามจริง
แจ้งอริยสัจ ๔
ละวิภวตัณหาและวิธีการดับอวิชชา
ทิฏฐิปาริสุทธิ ละทิฏฐิ ๖๒ ประการ
สิ้นสงสัยนิพพาน
ดับฉันทราคะในอุปาทานขันธ์ ๕
ดับตัณหา ๓ ดับอุปาทาน ๔ ดับกามภพ ดับรูปภพ ดับอรูปภพ
เป็นความรู้เห็นของสภาวะที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ในคำว่า สัตบุรุษ
เป็นบุคคลที่ปฏิบัติได้เนวสัญญาฯที่เป็นสัมมาสมาธิ
อินทรีย์ ๕ แก่กล้า บรรลุมรรคผลตามลำดับ
๕.สุนักขัตตสูตร(๑๐๕)
[๗๓] ดูกรสุนักขัตตะ ข้อที่ปุริสบุคคลบางคนในโลกนี้
พึงเป็นผู้น้อมใจไปในอากิญจัญญายตนสมาบัติ นั่นเป็นฐานะที่มีได้แล
ปุริสบุคคลผู้น้อมใจไปในอากิญจัญญายตนสมาบัติ
ถนัดแต่เรื่องที่เหมาะแก่อากิญจัญญายตนสมาบัติเท่านั้น
ย่อมตรึก ย่อมตรอง ธรรมอันควรแก่อากิญจัญญายตนสมาบัติ
คบแต่คนชนิดเดียวกัน และถึงความใฝ่ใจกับคนเช่นนั้น
แต่เมื่อมีใครพูดเรื่องเกี่ยวกับอาเนญชสมาบัติ
ย่อมไม่สนใจฟัง ไม่เงี่ยโสตสดับ ไม่ตั้งจิตรับรู้
ไม่คบคนชนิดนั้น และไม่ถึงความใฝ่ใจกับคนชนิดนั้น
เปรียบเหมือนศิลาก้อน แตกออกเป็น ๒ ซีกแล้ว
ย่อมเป็นของเชื่อมกันให้สนิทไม่ได้ ฉันใด
ดูกรสุนักขัตตะฉันนั้นเหมือนกันแล
เมื่อความเกี่ยวข้องในอาเนญชสมาบัติของปุริสบุคคล
ผู้น้อมใจไปในอากิญจัญญายตนสมาบัติแตกไปแล้ว
บุคคลที่เป็นอย่างนี้นั้น พึงทราบเถิดว่า
เป็นปุริสบุคคลผู้น้อมใจไปในอากิญจัญญายตนสมาบัติ
พรากแล้วจากความเกี่ยวข้องในอาเนญชสมาบัติ ฯ
[๗๔] ดูกรสุนักขัตตะ ข้อที่ปุริสบุคคลบางคนในโลกนี้
พึงเป็นผู้น้อมใจไปในเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ
นั่นเป็นฐานะที่มีได้แล
ปุริสบุคคลผู้น้อมใจไปในเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ
ถนัดแต่เรื่องที่เหมาะแก่เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ
ย่อมตรึก ย่อมตรอง ธรรมอันควรแก่เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ
คบแต่คนเช่นเดียวกัน และถึงความใฝ่ใจกับคนเช่นนั้น
แต่เมื่อมีใครพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับอากิญจัญญายตนสมาบัติ
ย่อมไม่สนใจฟัง ไม่เงี่ยโสตสดับ ไม่ตั้งจิตรับรู้
ไม่คบคนชนิดนั้น และไม่ถึงความใฝ่ใจกับคนชนิดนั้น
เปรียบเหมือนคนบริโภคโภชนะที่ถูกใจอิ่มหนำแล้ว พึงทิ้งเสีย
ดูกรสุนักขัตตะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
เขาจะพึงมีความปรารถนาในภัตนั้นบ้างไหมหนอ ฯ
สุ. ข้อนี้หามิได้เลย พระพุทธเจ้าข้า ฯ
พ. นั่นเพราะเหตุไร ฯ
สุ. เพราะว่าภัตโน้น ตนเองรู้สึกว่า เป็นของปฏิกูลเสียแล้ว ฯ
พ. ดูกรสุนักขัตตะ ฉันนั้นเหมือนกันแล
เมื่อความเกี่ยวข้องในอากิญจัญญายตนสมาบัติ
อันปุริสบุคคลผู้น้อมใจไปในเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติคายได้แล้ว
บุคคลที่เป็นอย่างนี้นั้น พึงทราบเถิดว่า
เป็นปุริสบุคคลผู้น้อมใจไปในเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ
พรากแล้วจากความเกี่ยวข้องในอากิญจัญญายตนสมาบัติ ฯ
[๗๕] ดูกรสุนักขัตตะ ข้อที่ปุริสบุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นผู้น้อมใจไปในนิพพานโดยชอบ
นั่นเป็นฐานะที่มีได้แล
ปุริสบุคคลผู้น้อมใจไปในนิพพานโดยชอบ
ถนัดแต่เรื่องที่เหมาะแก่นิพพานโดยชอบเท่านั้น
ย่อมตรึก ย่อมตรองธรรมอันควรแก่นิพพานโดยชอบ
คบแต่คนเช่นเดียวกัน และถึงความใฝ่ใจกับคนเช่นนั้น
แต่เมื่อมีใครพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ
ย่อมไม่สนใจฟัง ไม่เงี่ยโสตสดับ ไม่ตั้งจิตรับรู้
ไม่คบคนชนิดนั้นและไม่ถึงความใฝ่ใจกับคนชนิดนั้น
เปรียบเหมือนตาลยอดด้วนไม่อาจงอกงามได้อีก ฉันใด
ดูกรสุนักขัตตะ ฉันนั้นเหมือนกันแล
เมื่อความเกี่ยวข้องในเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ
อันปุริสบุคคลผู้น้อมใจไปในนิพพานโดยชอบ
ตัดขาดแล้ว ถอนรากขึ้นแล้ว ไม่มีเหตุตั้งอยู่ได้ดังต้นตาล
ถึงความเป็นไปไม่ได้แล้ว มีความไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดา
บุคคลที่เป็นอย่างนี้นั้น
พึงทราบเถิดว่าเป็นปุริสบุคคล ผู้น้อมใจไปในนิพพานโดยชอบ
พรากแล้วจากความเกี่ยวข้องในเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ฯ
๗. อาณิสูตร
[๖๗๒] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี …
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว
ตะโพนชื่ออานกะของพวกกษัตริย์ผู้มีพระนามว่าทสารหะได้มีแล้ว
เมื่อตะโพนแตก พวกทสารหะได้ตอกลิ่มอื่นลงไป
สมัยต่อมาโครงเก่าของตะโพนชื่ออานกะก็หายไป ยังเหลือแต่โครงลิ่ม แม้ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุในอนาคตกาล
เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว
อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่
จักไม่ปรารถนาฟัง จักไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อรู้
และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียน ควรศึกษา
แต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์รจนาไว้
อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มีอักษรอันวิจิตร มีพยัญชนะอันวิจิตร
เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิต อยู่
จักปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้
และจักสำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน ควรศึกษา ฯ
[๖๗๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระสูตรเหล่านั้น
ที่ตถาคตกล่าวแล้วอันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ
ประกอบด้วยสุญญตธรรม จักอันตรธานฉันนั้นเหมือนกัน
เพราะเหตุดังนี้นั้น
เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว
อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่
พวกเราจักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้
และจักสำคัญธรรมเหล่านั้นว่า ควรเรียน ควรศึกษา ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ ฯ
อันนี้มีจริงๆนะ ในปัจจุบันยังนำตำรานี้มาใช้สอนกันอยู่ แพร่หลาย
คำว่า สุญญตา ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึง
หมายถึงสภาวะของสัตบุรุษ ที่มีเกิดขึ้นตามจริง
ตั้งแต่แรกเริ่ม ปฏิบัติได้เนวสัญญาฯที่เป็นสัมมาสมาธิ
ทำต่อเนื่องจนกระทั่งได้โสดาปัตติผลตามจริง แจ้งอริยสัจ ๔ ตามจริง
แจ้งสุญญตาที่มีเกิดขึ้นในตน เกิดจากจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิในเนวสัญญาฯ ขณะนั้นๆ
ยังคงปฏิบัติต่อเนื่อง อินทรีย์ ๕ แก่กล้า บรรลุเร็ว วิชชา ๒ มีเกิดขึ้นตามจริง
ยังคงปฏิบัติต่อเนื่อง อินทรีย์ ๕ แก่กล้า บรรลุเร็ว วิชชา ๓ มีเกิดขึ้นตามจริง
วิมุตติญาณทัสสนะปรากฏตามจริง โดยตัวของสภาวะเอง
จะแจ่มแจ้งในพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้และบัญญัติไว้
ที่มาในรูปของพระสูตร