10 พย. 63
ความลำบาก(การสื่อสารทางโลก) ที่มีเกิดขึ้นขณะดำเนินชีวิต ลำบากมากเท่าไหร่ สติ ยิ่งมีเกิดขึ้นมาก ทำให้สภาวะจิตพิจรณามีเกิดเนืองๆ จากกระจัดกระจาย ทำให้รู้ชัดเห็นเหตุปัจจัยของสิ่งที่มีเกิดขึ้นในชีวิตมากขึ้น
เริ่มจาก บัตรทองถูกยกเลิก จึงเป็นเหตุให้เจอรพ.นพรัตน์ สำหรับซื้อยาละลายลิ่มเลือด LIXIANA 60 mg ค่าซื้อยาพอๆกับรพ.จุฬาภรณ์ แบบเสียาค่าเดินทางน้อยลง ใช้เวลาเดินทางน้อยลง โอกาสที่ทำให้แท็กซี่เบียดเบียนน้อยลง ทำให้รู้ประโยชน์ที่บัตรทองถูกยกเลิก(เกี่ยวกับการรักษา) สามารถรักษาไม่ต้องใช้ใบส่งตัวชั่วคราว รักษารัฐบาลไม่ต้องเสียค่ารักษาและยา(รักษาทั่วไป)
จากสิ่งหนึ่ง ไปยังสิ่งหนึ่ง คือความรู้ ความเห็น
จากบัตรทอง ไปสู่บัตรพิการ การฟื้นฟูอาการทางสมองให้กลับมาปกติถึงไม่100% ก็ตาม
ตอนนี้ ถ้าไม่สามารถทำบัตรพิการได้ ก็ทำให้รู้ว่าบัตรพิการช่วยประโยชน์อะไรบ้าง เช่นเดียวกับบัตรทอง แม้กระทั่งเงินชรา เงินช่วยคนพิการ(บัตรพิการ) ฉะนั้นจะทำบัตรนี้ได้หรือทำไม่ได้ ไม่มีปัญหา แค่ทำในสิ่งที่ควรทำ หากทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยทำให้รู้ว่าสามารถไปที่รพ.สิรินธร ซึ่งเจ้านายบอกว่า ถ้างั้นไปรพ.รามาไม่ดีกว่าเเหรอ สะดวกเดินทางกว่ารพ.สิริธร(นนท์)
เราบอกว่า ตอนนี้ยังไม่มีความตัดสินอะไร ต้องลองดูว่าที่ไหนจึงเหมาะสม ไม่ก็ไม่ต้องทำอะไร พิการแบบไม่สามารถสื่อสารภาษาทางโลก ก็ไม่เป็นไร แต่การที่สิ่งที่กำลังทำอยู่นั้น ก็ลองทำดู ไม่เสียหายอะไร มันขึ้นกับความคิดที่มีเกิดขึ้นขณะนั้นๆ
.
เช้าวันนี้เล่าให้เจ้านายฟังเรื่องความรู้ความเห็นที่รู้เกิดขึ้นจากสิ่งที่มีเกิดขึ้นในชีวิต จิตสะสม จนแตกหน่อความรู้ต่างๆอกมา
เริ่มจากเบี้ยคนชรา(60ปี ) มีประโยชน์ในการที่บุคคลที่ไม่มีลูกหลานดูแล พูดถึงคนที่ไม่มีรายได้ แต่มีบ้านอยู่ คำว่าบ้านหมายถึงที่ซุกหัวนอน ไม่ได้หมายถึงบ้านใหญ่โต คนที่บ้านอยู่ แต่ไม่พิการ สามารถหุงข้าวกินเองได้ เงิน 600 บาท ถ้ารู้จักนำมาใช้จ่ายแบบคิดก่อนซื้อ กินเพื่อร่างกายสังขาร เงินนี้สามารถซื้อข้าวสาร ไข่ไก่ ผงซักฟอก สบู่ ใช้ชีวิตแบบสมถะ ใช้ลมหายใจที่มีอยู่ให้มีประโยชน์ ไม่ต้องไปคิดพึ่งพานอกตน คือให้ใช้ประโยชน์ลมหายใจให้ประโยชน์สูงสุด ด้วยการทำกรรมฐาน รักษาศิล รักษาใจ เวลาตายไม่ต้องไปอบาย ไปสู่คติภพภูมิที่ดี เสวยผลกรรมที่เคยทำไว้ขณะตอนมีชีวิต
เบี้ยคนพิการ 800 บาท มีไว้สำหรับค่าเดินทาง ค่ากิน เวลาที่ไปฟื้นฟูร่างกายที่บกพร่อง จนสามารถสื่อสารกับคนอื่นๆได้ ก็ทำการยกเลิกบัตรพิการ บัตรพิการถ้ารู้จักนำมาใช้ ย่อมมีประโยชน์ ไม่ใช่ทำบัตรพิการเพราะอยากได้เงิน(ความโลภ) เกิดจากถูกตัณหาครอบงำ ในกรณีที่แขนขวายังดีอยู่(ในสายตามองแต่ภายนอก)
.
วันนี้รู้ชัดด้วยตนเอง ไม่ได้รู้จากการอ่านหรือการท่องจำ รู้ว่าทำไมพระพุทธเจ้าทรางบัญญัติคำเรียกต่างๆ
เพื่อให้ทำความเข้าใจในสิ่งที่มีเกิดขึ้นตั้งแต่หยาบ ปรากฏทางกาย วา อย่างกลาง มีเกิดขึ้นทางใจ อย่างละเอียด มีเกิดขึ้นจิตใต้สำนึก(สันดาน/อนุสัย)
จึงมาเป็นที่มาของ อาสวะ ๔ คือ กามาสวะ ภวาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ
เช่น
อย่างหยาบ(กาย วาจา) หลง(นิวรณ์)
อย่างกลาง(ใจ) อวิชชา(กิเลส)
อย่างละเอียด(จิตใต้สำนึก) อวิชชาสวะ
อย่างหยาบ หลง เห็นเป็นตัวตน เรา เขา ที่มีเกิดขึ้นขณะดำเนินชีวิต ละความเห็นผิด(ทิฏฐาสวะ) ด้วยการรู้ชัดผัสสะที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง ที่มีเกิดขึ้นในกามาสวะ
ราคะ กามราคะ กามาสวะ
อย่างกลาง อวิชชา เห็นเป็นตัวตน เรา เขา ที่มีเกิดขึ้นขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ละความเห็นผิด(ทิฏฐาสวะ) ด้วยการรู้ชัดตามความเป็นจริงในรูปฌาน อรูปฌาน นิโรธ ที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง ที่มีเกิดขึ้นในภวาสวะ
ภพ ภวตัณหา ภวราคะ ภวาสวะ
อย่างละเอียด อวิชชาสวะ เห็นเป็นตัวตน เรา เขา ละความเห็นผิด(ทิฏฐาสวะ) ด้วยการรู้ชัดตามความเป็นจริงในสภาวะจิตดวงสุดท้าย ที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริงในอวิชชาสวะ
วิภาวตัณหา อวิชชา อวิชชาสวะ
คำว่า วิภวตัณหา ได้แก่ ความไม่อยากเกิด ไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บตาย
“นั่งอยู่ในที่ลับคิดอย่างนี้ ในครั้งนั้นว่าการเกิดในภพใหม่และความที่สรีระแตกเป็นทุกข์ เราจักแสวงหานิพพานอันไม่แก่ ไม่ตาย ปลอดภัย เป็นที่ดับชาติธรรม ชราธรรม และพยาธิธรรม
เอาละ เราพึงเป็นผู้ไม่มีความห่วงใย ไม่ต้องการ ละทิ้งกายอันเปื่อยเน่าเต็มด้วยซากศพนี้ไปเสียเถิดทางที่ใครๆ ไม่อาจจะไปได้เพราะไม่มีเหตุ จักมีแน่นอนเราจักแสวงหาทางนั้นเพื่อหลุดพ้นไปจากภพ”
ทีปังกรพุทธวงศ์ที่ ๑
ว่าด้วยพระประวัติพระทีปังกรพุทธเจ้า
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=33&A=6874…
18 พย. 63
หลายวันมานี่ เรียนรู้การอยู่ร่วมกับคนภายนอกครอบครัว หมายถึงคนแปลกหน้า คนที่ไม่รู้จัก คือคนป่วยสารพัด
การไปรพ.ก็ได้เรียนอีกแบบเกี่ยวกับบัตรทอง และเกี่ยวกับคำที่เรียกว่า พิการ
คำว่าพิการ จะใช้เฉพาะกับผู้ที่แขน ขา ตา หู ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ รวมสามารถช่วยเหลือตัวเองได้แต่ต้องเรียนรู้การใช้ชีวิต
ส่วนอาการที่วลัยพรเป็นอยู่ เมื่อก่อนเข้าใจว่าตนเองเป็นคนพิการ จริงๆแล้วต้องเรียกให้ถูกต้องจะเรียกว่า อาการบกพร่องที่เกิดจากสมองเสียหาย ไม่จัดว่าเป็นคนพิการ เช่น การบกพร่องการสื่อสาร ไม่สามารถสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจในสิ่งที่ที่ต้องการบอก รวมทั้งรู้สึกขณะเกิดผัสสะ จะว่างเปล่า เมื่อมีเกิดขึ้นเนืองๆ อารมณ์ที่เสพไว้ทำให้เกิดการเมินเฉย แม้กระทั่งร่างกายไม่รู้สึกความเจ็บปวดแบบที่คนทั่วๆคนเป็น สักแต่ว่ามีเกิดขึ้น นี่ก็เป็นการบกพร่องทางกายสัมผัส
ภาษาที่ใช้ทางโลกกับทางธรรม จะแตกต่างกัน หากไม่เคยทำกรรมฐาน จนรู้ชัดผัสสะที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง มันก็ยากที่จะสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจในสิ่งที่จะบอก
คำว่า นิพพิทา ทางธรรม คือเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ตายเป็นตาย เช่นหัวใจหยุดเต้น ไม่ใช้ความพยายามเพื่อให้หัวใจกลับมาเต้นปกติ เช่น เราเป็นหัวใจเต้นผิดจังหวะบางทีเต้นช้าทำให้หัวใจหยุดเต้น บางครั้งหัวใจเต้นเร็วทำให้หัวใจหยุดเต้น ส่งกระทบต่อการดำเนินชีวิต บางครั้งอาจทำให้เสียชีวิตได้ คนที่มีเงินจะไปหาหมอ หมอจะใส่กล่องให้ แบบว่าถ้าหัวใจเต้นช้าแล้วหัวใจหยุดเต้น เจ้ากล่องตัวนี้จะไฟฟ้าออกมาช๊อตหัวใจให้กลับมาเต้นปกติ หรือถ้าหัวใจเต้นเร็วไปจนหัวใจหยุดเต้น เจ้ากล่องตัวนี้ก็ปล่อยไฟฟ้าออกมาช๊อตหัวใจให้กลับมาเต้นปกติ
การที่หมอถามเราว่าจะไม่ใส่กล่องนี้เหรอ พูดไว้ๆช่วยชีวิต
แล้วเราตอบกลับมา ไม่ใส่ ขอใช้สมาธิช่วยตัวเอง
สภาวะที่เราเป็นอยู่นี่ ถ้าเป็นทางโลก หมอจะเรียกว่า อาการซึมเศร้าที่เกิดจากคนป่วยทางสมอง stroke แบบที่ย้ำคิดย้ำทำ สุดโต่งทางศาสนา(คือความเชื่อแบบสุดโต่ง) คือคนทั่วๆไปต้องพยายามรักษาชีวิตไว้
การที่เราไม่สามารถแยกแยะแบงค์ได้ เวลาจะใช้เงินจะแยกบัตรออกจากกัน ไม่ใส่ปนกัน คือจะแลกบัตร ๒๐ บาท จำนวน๑๐๐ บาท เวลาใช้จะใส่กระเป๋าแยกไว้ เมื่อจ่ายแม่ค้า ทำให้จำได้ว่าใช้แบงค์แบบไหนจ่ายแม่ค้า หากจำนวนเงินเกือน ๑๐๐ บาท จะใช้แบงค์ ๑๐๐ หนึ่งใบตามมาด้วยแบงค์ ๒๐ ถ้าไม่ทำแบบนี้ แบบว่าใช้แบงค์ล้วนๆ เวลาแม่ค้าทอนเงินกลับมา เราไม่สามารถรับเงินทอนได้ เหมือนเงินแบบกระดาษไม่มีราคาทำนองนั้น
เมื่อเราแยกแบงค์เป็นส่วนๆไว้ หมอจะเมื่อเห็นวิธีการใช้เงินของเรา ประกอบกับอาการอื่นๆที่เราเป็นอยู่ หมอเรียกว่าเป็นอาการย้ำคิดย้ำทำ เป็นการบกพร่องทางใจ หมอจึงส่งตัวเราไปพบหมอจิตเวช เราไม่ใช่คนพิการ สามารถช่วยตัวเองได้
มันมีสาเหตุก่อนที่หมอจะส่งตัวไปแบบนี้ เนื่องจากคนป่วยstroke หลังรักษาตัวจะต้องมีการไปตวจสอบเรื่องอาการซึมเศร้า แต่จนท.ที่ตรวจสอบเรานั้นจะไม่รู้อาการซึมเศร้าแบบที่คนทั่วๆเป็นกัน อันนี้เรารู้ที่หลังนะจากที่หมออธิบายอการที่เราเป็นอยู่
ถ้าให้เราพูดตามความเป็นจริง ความรู้ความเห็นทางโลกกับทางธรรมจะสวนทางกัน สภาวะที่เราเป็นอยู่ มันไม่ใช่อาการซึมเศร้า แต่เป็นอาการนิพพิทา เกิดจากความเบื่อสังขาร เห็นความเป็นอนิจจัง(ไม่เที่ยง) ทุกขัง(การเกิดเป็นทุกข์) อนัตตา(ไม่ใช่ตัวตน เรา เขา ไม่สามารถบังคับให้เป็นไปตามที่ต้องการ) จึงทำให้เราปฏิเสธการติดกล่อง แม้กระทั่งเรื่องการแบงค์เงินออกจากกัน คนภายนอกมองว่าเป็นอาการของคนย้ำคิดย้ำทำ เหตุที่เราทำแบบนี้จะทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตปกติได้ เวลาแม่ค้าทอนเงิน โดยเฉพาะแบงค์ต่างๆ แม้จะทอนมาครบหรือไม่ครอบ(เราแยกแยะไม่ได้) ก็ถือว่ามันเป็นเหตุระหว่างเราและแม่ค้าเคยกระทำกรรมมาร่วมกัน หากเราระวังเหล่านี้ ทางโลกจะมองแตกต่างกับทางธรรม
พอมาไปพบหมอจิตเวช หมอสอบอาการเจ็บป่วยเกิดจากอะไร จนเรื่องอาการอัมพาตซีกซ้าย แล้วกลับมาเป็นปกติโดยทำสมาธิ รวมๆคือ สิ่งที่เราพบเจอกับตัวเองทั้งหมด เป็นการสะสมความคิด จนทำให้เกิดอาการเมินเฉย คือหากกระทบแล้วทำให้เกิดความรู้สึก(ชอบใจ ไม่ชอบใจ) เช่น ระหว่างนั่งบนเก้าอี้มันจะยาวเป็นแผงติดต่อกัน ๔ ตัว หากมีคนนั่งอยู่ร่วมด้วย แล้วเขาชอบนั่งเขย่าขา ทำให้รู้รู้สึกรำคาญ เราก็ย้ายการนั่งแถวนั้นเปลี่ยนไปนั่งแถวที่คนไม่นั่งเขย่าขา จะไม่ไปต่อว่าเขา มันเป็นความคุ้นเคย มันเป็นพฤติกรรมของเขา เขาไม่สามารถไปเปลี่ยนเขาได้ เราจึงเปลี่ยนที่นั่ง
ระหว่างรอหมอ เจอคนที่รอหมอส่วนมากชวนคุยทำนองว่าป่วยเป็นอะไร อยู่ที่ไหน ครอบครัวเป็นยังไงฯลฯ สารพัดคำถาม เสียงที่กระทบมา บางเสียงเราฟังแล้วไม่ทำให้ไปทางอารมณ์หงุดหงิด เราจะพูดคุยด้วย แต่บ้างเสียงของบางคน พอได้ยินเสียงมีผลกระทบทางใจแบบฟังแล้วหงุดหงิดทั้งๆที่ถามเรื่องเดียวกัน จะที่ได้ยินอยู่จะกลายเป็นฟังไม่รู้เรื่อง ก็เลยบอกเขาว่าเราป่วยเป็นสมอง พอเราบอกแบบนี้ เขาจะหยุดชวนคุย
สรุป หมอบอกว่าอาการที่เราเป็นอยู่นั่นเป็นอาการบกพร่องทางการสื่อสาร บกพร่องทางความคิด พูดง่ายๆบกพร่องทางใจ หมอจะให้กินยาสำหรับผู้ป่วยซึมเศร้า เราถามเรื่องผลกระทบของยา หมอบอกว่าไต ตับ หัวใจ เลือด ยาทุกชนิดผลกระทบ แต่จะมากหรือน้อยขึ้นกับร่างกายของผู้ป่วย
เราจึงบอกหมอว่า เราไม่ปฏิเสธการรักษาของหมอ เหตุที่เรามาพบหมอครั้งแรกมาเรื่องการพิการ เมื่อรู้ว่าไม่ใช่อาการพิการ แต่เป็นเรื่องทางจิต รวมทั้งอาการอื่นๆซึ่งเกิดจากลิ่มเลือดอุดเส้นเลือดสมองไว้ ต้องใช้เวลา ไม่มีวิธีหรือการฝึกฝนแบบที่เราเข้าใจในตนแรกว่ามันฝึกฝนได้ ต้องกินยานี่เพื่อควบคุมจิต
เราบอกหมอว่า เมื่อรู้ว่าไม่ใช่ที่เรียกว่าพิการ เราขอใช้แบบไม่ต้องกินยา อาจจะใช้เวลา คือทำกรรมฐาน แบบเราไม่รู้ว่าจะอธิบายให้หมอเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการสื่อสาร เราจึงใช้คำง่ายๆว่าทำกรรมฐาน แล้วยังไงจะมาบอกกับหมออีกที
หมอจึงนัด ๑ เดือน ให้เรามาพบหมอ
.
เมื่อเจ้านายกลับมาถึงที่พัก เเขาถามเรื่องบัตรพิการ
เราบอกว่า การรักษาที่นี่ ไม่จำเป็นต้องใช้บัตรพิการ มันจะมีช่องบริการพิเศษสำหรับคนพิการ กรณีที่หมอวินิจฉัยว่าคนนั้นเป็นพิการ หากใช้บริการช่องนี้ไม่ต้องเสียเงินสักบาท
กรณีของเรา ต่อไปการรักษาใช้สิทธิบัตรทองคลีนิคยกเลิก ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย รักษาฟรี ยาต่างๆรับที่รพ.นี้ ไปพบหมอตามนัด หมอจะจ่ายยาให้ ยาละลายลิ่มเลือดที่เรากินอยู่ เราถามเภสัช เขาบอกว่าตัวนี้ที่นี่ไม่มี แต่มียาตัวอื่น ซึ่งเราบอกว่าต้องพูดกับหมอก่อน และขอบคุณเขา
เราบอกเจ้านายว่า คนที่ไม่โลภนี่มันดีนะ ประมาณว่าเมื่อไม่มีความหวัง ย่อมไม่พบคำว่าผิดหวัง เหมือนเรื่องบัตรพิการ ที่เราอยากได้เพราะคิดว่าการรักษาการบกพร่องที่เราเป็นอยู่ ต้องเสียเงิน(ที่จากอ่านมาในเวป) ตามความเป็นจริงมันไม่ใช่ทุกเรื่อง ประกอบกับได้ฟังที่หมอวิเคราะห์อาการที่เราเป็นอยู่ เกิดจากทางสมอง ลิ่มเลือดอุดเส้นเลือดในสมอง ย่อมมีผลกระทบต่อการสื่อสาร
เราบอกเขาว่า ฟังหมออธิบายแล้ว ทำให้เข้าใจมากขึ้น และรู้ว่าควรปฏิบัติตนเอง เช่น ปกติเราไม่ชอบการท่องจำ ตอนนี้ต้องเริ่มการท่องจำ เมื่อก่อนเราลืมไปหมดแล้วการสวดมนต์ การแผ่เมตตา การท่องจำนี้จะช่วยให้สมองทำงาน ทำให้สมองไม่เสื่อม การรับเลข ปกตินับได้แค่ ๑๐-๒๐ ถ้านับต่อนับผิด ต้องเริ่มนับใหม่ การฝึกนับเลข ก็ช่วยให้สมองไม่เสื่อม การอ่านออกเสียง ปกติเราจะออกเสียงเพี้ยน การอ่านหนังสือแบบออกเสียง จะช่วยให้การออกเสียงให้ถูกต้อง รวมทั้งการสะกดตัวหนังสือ คือค่อยๆทำ
ส่วนเรื่องการทำกรรมฐาน เราไม่สนใจเหล่านี้มานานแล้ว อาศัยการกำหนดผัสสะที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง สมาธิย่อมมีเกิดขึ้นเอง ส่วนมากหรือน้อยไม่แน่นอน บางที่มากจะมีโอภาสสว่างมาก มองเห็นในที่มืดเหมือนเห็นในกลางวัน ถ้าสมาธิมีน้อย ทำให้รู้ชัดผัสสะ ผลกระทบ เวทนามีเกิดขึ้น ต้องใช้สติเป็นหลัก ส่วนมากเลือกเมินเฉย เพราะรู้ชัดว่าเป็นเรื่องของกรรมและผลของกรรม หากเราไม่สานต่อ กรรมก็จบแค่นั้น ก็เลือกสัปปายะที่เหมาะกับตัวเอง
ตอนที่หมอบอกว่าให้เราเลิกนั่ง แบบเราบอกกับหมอว่าเราไม่เคยนอน หมอจึงบอกว่าให้เลิกนั่ง ให้นอนราบ แล้วกินยาต่อเนื่อง ถ้าเป็นเมื่อก่อนถ้าได้ยินแบบนี้ความไม่ชอบใจจะมีเกิดขึ้น ตอนนี้ฟังแล้วเฉยๆ คือรับฟัง
.
พูดเรื่องทำกรรมฐาน เรารู้ว่าทำให้รู้ชัดผัสสะขนาดนี้ เกิดจากสมาธิเสื่อมตั้งแต่ครั้งก่อน หลายถึงครั้งนี้น้องอีกคนโทรฯมาติดต่อ แล้วเราหลงคุยด้วย คุยนานนะ หลังคุยจึงรู้ว่าจิตแบบแปลกๆ จึงบอกเจ้านายว่า ลืมไปว่าน้องคนนี้มีความสามารถดูดสมาธิจากคนอื่นๆ ถึงแม้เขาจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม หากหลงคุยด้วยกำลังสมาธิจะไหลไปหาเขา มีอีกครั้งแบบผ่านนานไปละ น้องโทรฯมาอีก แต่เราจำได้ เราจึงคุยนิดเดียวแล้วบอกน้องเขาว่า หากไม่ปฏิบัติอย่าโทรฯมาหาเราอีก คุยทางโลกเราไม่สนใจ เขาก็หายไป
พูดถึงการทำสมาธิให้กลับคืนมา ตอนนี้ไม่ต้องใช้ความพยายามเหมือนเมื่อก่อน ตอนนั้นจิตยังไม่ตั้งมั่นแบบมั่นคง ต้องใช้ความพยายาม ตอนนี้จิตมั่นคงแล้ว ไม่ต้องใช้ความพยายาม แค่เดิน แล้วต่อนั่ง จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิทันที ต่อนั้นกาารู้ชัดสภาวะสติปัฎฐาน ๔ มีเกิดขึ้น
มันจะเป็นแบบนั้นแหละเป็นเรื่องปกติของผู้ที่รู้แล้ว จะไม่มีให้ความสำคัญว่านี่คืออะไร หรือเป็นอะไร
29 กันยายน เวลา 13:34 น.
หลังจากที่เขียนเล่าเรื่องเกี่ยวกับการพิการ จิตพิจรณาเรื่องราวที่เคยมีเกิดขึ้น จนอาการปัจจุบันที่เป็นอยู่
เดิมเกิดจากหมอหยุดยาละลายลิ่มเลือด(หัวใจเต้นผิดจังหวะ) สมัยนั้นกล่าวโทษหมอนะ
ตอนนี้ไม่คิดกล่าวโทษหมอแล้ว เพราะมันเป็นเรื่องของวิบากกรรมจึงทำให้ร่างกายต้องเป็นแบบนี้
ทางโลก สำหรับผู้ไม่รู้ ย่อมตำหนิหมอ
ทางธรรม ผู้ที่รู้ จะไม่กล่าวโทษหมอ พูดด้วยตัวสภาวะ การที่เข้าสู่ความว่างของแต่ละคนเกิดมีขึ้นอยู่กับกรรมและผลของกรรม คือ เกิดจากการกระทำของตนล้วนๆ แบ่งเป็น ๒ แบบ
๑. ปฏิบัติสบาย(สมถะ) จะมีเกิดขึ้นขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ปรากฏในรูปของนิมิต(ที่เหมือนจริงมากๆ)
๒. ปฏิบัติลำบาก(วิปัสสนา) จะมีเกิดขึ้นขณะดำเนินชีวิต ส่วนจะถึงขั้นพิการหรือไม่มีพิการ ขึ้นอยู่กับวิบาก(ผลของกรรม) จึงส่งผลจึงทำให้ร่างกายเป็นแบบนี้
.
กลับมาเรื่องที่เขียนไว้เกี่ยวกับเบี้ยสำหรับคนพิการ ทำให้รู้ว่าควรถามหมอว่า อาการที่เป็นอยู่จะหายกลับมาปกติหรือไม่ ซึ่งไม่เคยคิดจะถามกับหมอเลย
เคยอ่านเกี่ยวกับลิ่มเลือดที่หลุดเข้าเส้นเลือดสมอง เพียงแต่ว่าลิ่มเลือดนี้จะหลุดไปตรงส่วนไหนของสมอง ย่อมส่งผลของร่างกาย เช่นทำให้พิการได้ วิธีรักษาต้องใช้เครื่องมือตักเอาลิ่มเลือดนี้ออกมา ค่าใช้จ่ายแพงมากๆ
จำได้ว่า หมอบอกว่า ลิ่มเลือดของเก่าที่หลุดเข้าไป(สมองครั้งแรก) มารวมกับลิ่มเลือดใหม่ที่หลุดเข้าออกไปอีก(ครั้งที่สอง) ทำให้ลิ่มเลือดก้อนใหญ่ขึ้น
–
27 กันยายน เวลา 17:13 น.
จะพูดเรื่องสภาวะหรือสิ่งที่มีเกิดขึ้นในแต่ละขณะ มีคำตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้นี้ มีชื่อเรียกว่า ผัสสะ ถ้าผู้ศึกษาจะเข้าใจ แต่ผู้ที่ขาดการศึกษาจะไม่เข้าใจ
เหตุจากการอาการป่วย(สมองและหัวใจ) ทำให้เสียหาย คือเสียความสามารถในการสื่อสารทางพูดที่คนปกติใช้ๆกัน
ประสาทอัตโนมัติเสียหาย เช่นหู จะเหมือนคนหูตึง มันยิ่งกว่าคนหูตึง คนหูตึงอาจใช้เครื่องฟังช่วยได้ แต่สำหรับวลัยพรนั้น ไม่สารถนำเครื่องมือแบบนั้นมาใช้ได้ ที่บอกว่ายิ่งกว่าคนหูตึงคือ เวลาเสียงที่มากระทบ สิ่งที่รู้บางขณะ มันเป็นเสียงที่ไม่เป็นคำ มันจะรู้ว่ามีเสียงแค่นั้น ฉะนั้นเวลาจะติดต่อกับใครจะใช้วิธีเขียนหนังสือ แม้กระทั่งการติดต่อต่างก็ เช่นกรณีไปติดต่อที่สำนักเขตว่า เราเป็นสมอง จะฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ขอให้จนท.ต้องพูดช้าๆ เสียงดังๆ ไม่ก็เขียนให้เราอ่าน เพราะบางครั้งเราอาจฟังไม่รู้เรื่อง ถ้ามีใครว่าเราว่าพูดไม่รู้เรื่อง เราก็จอบกกับคนนั้นว่า เราเป็นสมอง ทำให้พูดไม่รู้เรื่อง (เราพูดตามอาการของป่วยทางสมอง เจอเขาพูดแบบนั้น เราจะเฉยๆนะ ไม่มีความหงุดหงิดหรือโกรธใดๆเขา)
จนท.บางคนดีมากนะ พอเขารู้ว่าเราป่วย เขาจะพูดช้าลง แล้วใจเย็นอธิบายให้เราฟัง ถ้าเรายังไม่เข้าใจ จะมีจนท.คนอื่นจะมาช่วยอธิบายให้ฟัง
อาการแบบนี้จะเกิดช่วงๆ บางครั้งฟังรุ้เรื่อง บางครั้งฟังไม่รู้เรื่อง รวมทั้งอารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ อาการป่วยทางสมอง ทำให้หงุดหงิดง่าย เหมือนเด็กน่ะ คิดยังไงพูดตามความเป็นจริง ทั้งๆที่ใจน่ะไม่ได้รู้สึกโกรธหรืออะไร มันแค่รำคาญ เมื่อเจอกระทบ จากรำคาญจะทำให้กลายเป็นหงุดหงิด พอหงุดหงิดมากจะกลายเป็นพูดออกมา ไม่เก็บเอาไว้ เหมือนที่เคยเขียนไว้ว่า อาการประสาทจะแดกเอา เหมือนคนโรคประสาทที่อาละวาดทำนองนั้น เราไม่ถึงขั้นอาละวาด แต่จะพูดออกมาตรงๆ ทั้งๆที่ไม่ได้รู้สึกเกลียดหรือโกรธใดๆ มันแค่จากรำคาญ ถ้ายังไม่จบ จะทำให้หงุดหงิด ทำให้กลายเป็นพูดออกมา
.
ถ้าถามว่า อาการสมองตรงนี้ มีผลกระทบต่อความรู้ความเห็นเกี่ยวกับปฏิบัตินั้น มีมั๊ย
คำตอบ ไม่มี สักนิดก็ไม่มี เพราะความรู้ ความเห็นที่มีอยู่ ต่อให้ความจำเสื่อม ความรู้ ความเห็นนี้ไม่เสื่อม เพราะเป็นเรื่องจิตใต้สำนึก เป็นผลของการปฏิบัติ ไม่ได้เกิดจากการท่องจำ
พูดถึงสติ สติในที่การดับเหตุภพชาติของการเกิด บางครั้งยังมีกระทำอยู่เกิดจากสติเกิดช้า ความเจ็บป่วยจึงทำให้เป็นแบบนั้น แต่ตรงนี้ไม่ส่งผลภพชาติของการเกิด(เวียนว่ายตายเกิด) ประมาณว่า ตรงตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ ตัณหาที่ละขาด ขาดแล้วขาดเลย ไม่มีกำเริบเกิดขึ้น แล้วไม่มีความรู้สึกว่าตนเองอยู่เหนือผู้อื่นหรือรู้ยิ่งกว่าผู้คนอื่น มันไม่มีหรอก หากยังมีอาการแบบนั้น เกิดจากอวิชชาที่มีอยู่
เหมือนการอธิบายเกี่ยวกับพระธรรมต่างๆ เช่นคำว่า บางคนติดอุปกิเลส เราก็เขียนตัวสภาวะ ไม่มีคิดว่าคนนั้นดีหรือไม่ดี
สำหรับบางคนอ่านแล้วไม่ถูกใจ ไม่ชอบใจ นั่นก็เรื่องของผู้นั้น เราไม่สามารถทำให้คนอื่นเข้าใจได้ในสิ่งที่เราเขียนอธิบาย เป็นเรื่องเหตุปัจจัยของแต่ละคน
.
เหมือนสิ่งที่เราเขียนออกมาเรื่อยๆ บางสิ่งไปโดนกิเลสของผู้นั้น บางคนคนเองว่าเราว่าเขา จริงๆแล้วสภาวะของคนที่มีเหตุปัจจัยต่อกัน จึงทำให้เกิดความรู้สึกแบบนั้น คือ คิดเอาเองกัน เราจึงเขียนบอกไว้ว่า ต่อให้ตำหนิอะไรเราก็ตาม เราเฉยๆนะ การกระทำของเขา ก็กรรมของเขา เรารู้แค่นั้น
.
อันนี้พูดจากใจ ตามความเป็นจริง
หากใครอ่านเฟสแล้ว ทำให้ผู้นั้นรู้สึกไม่ดี ไม่ชอบใจ
เราจะบอกว่า สัปปายะนี้สำคัญมาก หากใครเข้ามาอ่านแล้วทำให้ผู้นั้นรู้สึกไม่ดี ก็อย่าเข้ามาอ่าน เพราะไม่ใช่สัปปายะสำหรับผู้นั้น หากจะลบจากเพื่อน ถึงแม้จะรู้จักการมานานก็ตาม ทุกคนสามารถลบเพื่อนออกไปได้ ไม่ต้องมาบล็อกเรา เสียเวลาปล่อยๆนะ ลบไปเลย
เพราะเมื่อไม่เป็นสัปปายะในการอ่าน ทำให้กิเลสเกิด(ความยึดมั่นถือมั่น) อย่าเอาเก็บไว้ เราไม่คิดอะไรกับใครทั้งสิ้น แล้วจะไม่ถามด้วยว่าทำไมถึงเลิกเป็นเพื่อน
.
สำหรับเรานั้น สภาวะของตนเปลี่ยนไป จากที่เคยชอบอ่านโน้นนี่ไปเรื่อยๆ จะเห็นว่าใจเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตัวหนังสือสักแต่ว่าอ่านหนังสือ แม้กระทั่งตามเฟส ใครเขียนอะไรก็ตาม ก็เหมือนการอ่านหนังสือ เป็นฉบับเรื่องเล่าชีวิตของแต่ละคน ชีวิตใครจะเป็นอย่างไร นั่นก็เรื่องของเขา กรรมของเขา ไม่ไปตัดสินว่าคนดีหรือไม่ดี เพราะสัตว์โลกล้วนเกิดเป็นไปตามกรรม
เรื่องที่เราเล่าต่างๆ ก็แค่เล่า ไม่คิดว่าใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เล่าก็แค่เล่าแค่นั้น ทำไมจิตเปลี่ยนไปได้ขนาดนั้น แตกต่างมากจากสมัยนั้น สมัยนั้นยังมีความยึดมั่นถือมั่น เมื่อฝึกตนต่อเนื่อง ความยึดมั่นถือมั่นย่อมลดน้อยลงไปเอง หากไม่เคยฝึกมาก่อน จู่ๆจะละทันที มันทำไม่ได้หรอก จิตเหมือนเด็กดื้อ เหมือนม้าพยศ จู่ๆดึงเชือกทันที คนเจ็บตัวก็คือตัวเรา จึงดึงมั่ง ปล่อยมาก พอจิตเริ่มอ่อน ก็ใช้เชือกตึงดึงไว้ได้ เหมือนเด็กเลี้ยงควาย เวลาเราจะให้ควายหยุดเดิน เราจะเท้าเตะที่ท้องควายเบาๆ พร้อมกับค่อยๆดึงเชือก เป็นการส่งสัญญาให้ความยรู้ว่าเราจะให้มันหยุดเดิน หรืออยากให้มันทำอะไรตามเรา พอดีเด็กๆเราเคยเลี้ยงควาย เพราะเคยเลี้ยงควายมาก่อน จึงรู้วิธีการหยุด
.
คาวีสูตร
[๒๓๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม่โคเที่ยวไปตามภูเขา เป็นโคโง่ ไม่ฉลาด ไม่รู้จักเขตที่หากิน ไม่เข้าใจที่จะไปเที่ยวบนเขาอันขรุขระ
แม่โคนั้นพึงคิดอย่างนี้ว่า ผิฉะนั้น เราพึงไปยังทิศที่ไม่เคยไป พึงกินหญ้าที่ยังไม่เคยกินและพึงดื่มน้ำที่ยังไม่เคยดื่ม แม่โคนั้นยันเท้าหน้าก็ไม่ดีเสียแล้ว พึงยกเท้าหลังอีก ก็คงจะไปยังทิศที่ไม่เคยไปไม่ได้ กินหญ้าที่ยังไม่เคยกินไม่ได้ และดื่มน้ำที่ยังไม่เคยดื่มไม่ได้
แม่โคนั้นยืนอยู่ในที่ใดพึงคิดอย่างนี้ว่า ผิฉะนั้น เราพึงไปยังทิศที่ไม่เคยไป พึงกินหญ้าที่ยังไม่เคยกิน และพึงดื่มน้ำที่ยังไม่เคยดื่ม มันกลับมายังที่นั้นอีกโดยสวัสดีไม่ได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะแม่โคนั้นเที่ยวไปบนภูเขา เป็นคนโง่ ไม่ฉลาด ไม่รู้จักเขตที่หากิน ไม่เข้าใจที่จะเที่ยวไปบนภูเขาอันขรุขระ ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้เป็นคนโง่ ไม่ฉลาด ไม่รู้จักเขต ไม่เข้าใจเพื่อสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอไม่เสพโดยมาก ไม่เจริญ ไม่กระทำให้มาก ซึ่งนิมิตนั้น ไม่อธิษฐานนิมิตนั้นให้ดี
เธอย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า ผิฉะนั้น เราพึงบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เธอไม่อาจเพื่อบรรลุทุติยฌาน ฯลฯ
เธอย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า ผิฉะนั้น เราพึงสงัดจากกาม สงัดจากอกุศล บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอย่อมไม่อาจเพื่อสงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เรากล่าวว่า มีชื่อเสียงปรากฏพลาด เสื่อมจากผลทั้งสอง ๒ แล้ว เปรียบเหมือนแม่โคเที่ยวไปบนภูเขา เป็นโคโง่ ไม่ฉลาด ไม่รู้จักเขตที่หากิน ไม่เข้าใจที่จะเที่ยวไปบนภูเขาอันขรุขระ ฉันนั้น ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม่โคที่เที่ยวไปบนภูเขา เป็นโคฉลาดเฉียบแหลม รู้จักเขตที่หากิน เข้าใจที่เที่ยวไปบนภูเขาอันขรุขระ
แม่โคนั้นพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ผิฉะนั้น เราพึงไปยังทิศที่ไม่เคยไป พึงกินหญ้าที่ยังไม่เคยกิน และพึงดื่มน้ำที่ไม่ดื่ม แม่โคนั้นยันเท้าหน้าไว้ดีแล้ว พึงยกเท้าหลัง แม่โคนั้นพึงไปยังทิศที่ไม่เคยไป พึงกินหญ้าที่ยังไม่เคยกิน และพึงดื่มน้ำที่ไม่เคยดื่ม
เมื่อยืนอยู่ในที่ใด พึงคิดอย่างนี้ว่า ผิฉะนั้น เราพึงไปยังทิศที่ไม่เคยไป พึงกินหญ้าที่ยังไม่เคยกิน พึงดื่มน้ำที่ยังไม่เคยดื่ม และพึงกลับมายังที่นั้นโดยสวัสดี ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะแม่โคเที่ยวไปบนภูเขา เป็นโคฉลาด เฉียบแหลม รู้จักเขตที่หากิน เข้าใจที่จะเที่ยวไปบนภูเขาอันขรุขระ ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ เป็นบัณฑิต ฉลาด รู้จักเขต เข้าใจที่จะสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน … เสพโดยมาก เจริญ กระทำให้มากซึ่งนิมิตนั้น อธิษฐานนิมิตนั้นให้มั่นด้วยดี
เธอมีความคิดอย่างนี้ว่า ผิฉะนั้น เราพึงบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เธอยังไม่ยินดีเพียงทุติยฌานที่ได้บรรลุ ฯลฯ เธอเสพโดยมากซึ่งนิมิตนั้น เจริญ กระทำให้มากซึ่งนิมิตนั้น อธิษฐานนิมิตนั้นให้มั่นด้วยดี
เธอมีความคิดดังนี้ว่า ผิฉะนั้น เราพึงมีอุเบกขามีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขามีสติอยู่เป็นสุข เธอยังไม่ยินดีเพียงตติยฌานที่ได้บรรลุ ฯลฯ เธอเสพโดยมาก เจริญ กระทำให้มากซึ่งนิมิตนั้น อธิษฐานนิมิตนั้นให้มั่นด้วยดี
เธอมีความคิดอย่างนี้ว่า ผิฉะนั้น เราพึงบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัส โทมนัส ก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ เธอยังไม่ยินดีเพียงจตุตถฌานที่ได้บรรลุนั้น เธอเสพโดยมาก เจริญ กระทำให้มากซึ่งนิมิตนั้น อธิษฐานนิมิตนั้นให้มั่นด้วยดี
เธอมีความคิดอย่างนี้ว่า ผิฉะนั้น เรา เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา พึงบรรลุอากาสานัญจายตนฌาน โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่าอากาศไม่มีที่สุด เธอยังไม่ยินดีเพียงอากาสานัญจายตนฌานที่ได้บรรลุนั้น เธอเสพโดยมาก เจริญ กระทำให้มากซึ่งนิมิตนั้น อธิษฐานนิมิตนั้นให้มั่นด้วยดี
เธอมีความคิดอย่างนี้ว่า ผิฉะนั้น เรา เพราะล่วงอากาสานัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง พึงบรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่าวิญญาณไม่มีที่สุด เธอยังไม่ยินดีเพียงวิญญาณัญจายตนฌานที่ได้บรรลุนั้น เธอเสพโดยมาก เจริญ กระทำให้มากซึ่งนิมิตนั้น อธิษฐานนิมิตนั้นให้มั่นด้วยดี
เธอมีความคิดอย่างนี้ว่า ผิฉะนั้น เรา เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง พึงบรรลุอากิญจัญญายตนฌานโดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่า อะไรๆหน่อยหนึ่งไม่มี เธอไม่ยินดีเพียงอากิญจัญญายตนะที่ได้บรรลุนั้น เธอเสพโดยมาก เจริญ กระทำให้มากซึ่งนิมิตนั้น อธิษฐานนิมิตนั้นให้มั่นด้วยดี
เธอมีความคิดอย่างนี้ว่า ผิฉะนั้น เรา เพราะล่วงอากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวง พึงบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ เธอไม่ยินดีเพียงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานที่ได้บรรลุนั้น เธอเสพโดยมาก เจริญ กระทำให้มากซึ่งนิมิตนั้น อธิษฐานนิมิตนั้นให้มั่นด้วยดี
เธอมีความคิดอย่างนี้ว่า ผิฉะนั้น เรา เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง พึงบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ เธอไม่ยินดีเพียงสัญญาเวทยิตนิโรธที่ได้บรรลุนั้น ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในกาลใดแล ภิกษุเข้าก็ดี ออกก็ดี ซึ่งสมาบัตินั้นๆในกาลนั้น จิตของเธอเป็นจิตอ่อน ควรแก่การงาน สมาธิอันหาประมาณมิได้ ย่อมเป็นอันเธอเจริญดีแล้วด้วยจิตอ่อน ควรแก่การงาน เธอมีสมาธิอันหาประมาณมิได้ เจริญดีแล้ว ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งธรรมใดๆ ที่ควรกระทำให้แจ้งด้วยอภิญญา
เธอย่อมถึงความเป็นผู้ควรเป็นพยานในธรรมนั้นๆ ได้ ในเมื่อเหตุมีอยู่ๆ
ถ้าเธอหวังว่า เราพึงแสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง คือ คนเดียวเป็นหลายคนได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ฯลฯ พึงใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้
เธอย่อมถึงความเป็นผู้ควรเป็นพยานในธรรมนั้นๆได้ ในเมื่อเหตุมีอยู่ๆ
ถ้าเธอหวังว่า เราพึงฟังเสียงสองอย่าง คือ เสียงทิพย์เสียงมนุษย์ ทั้งที่ไกลและใกล้ ด้วยโสตธาตุอันเป็นทิพย์ ฯลฯ
ในเมื่อเหตุมีอยู่ๆ
ถ้าเธอหวังว่า เราพึงกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่นของบุคคลอื่นด้วยใจ คือ จิตมีราคะก็พึงรู้ว่า จิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะก็พึงรู้ว่า จิตปราศจากราคะ จิตมีมีโทสะก็พึงรู้ว่า จิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะก็พึงรู้ว่า จิตปราศจากโทสะ
จิตมีโมหะก็พึงรู้ว่า จิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะก็พึงรู้ว่า จิตปราศจากโมหะ จิตหดหู่ก็พึงรู้ว่า จิตหดหู่ หรือจิตฟุ้งซ่าน ก็พึงรู้ว่า จิตฟุ้งซ่าน จิตเป็นมหรคตก็พึงรู้ว่า จิตเป็นมหรคตหรือจิตไม่เป็นมหรคตก็พึงรู้ว่า จิตไม่เป็นมหรคต
จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่าก็พึงรู้ว่า จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่าก็พึงรู้ว่า จิตไม่มีจิตอื่นกว่า จิตเป็นสมาธิก็พึงรู้ว่า จิตเป็นสมาธิ หรือจิตไม่เป็นสมาธิก็พึงรู้ว่า จิตไม่เป็นสมาธิ จิตหลุดพ้นก็พึงผู้ว่า จิตหลุดพ้น หรือจิตไม่หลุดพ้นก็พึงรู้ว่า จิตไม่หลุดพ้น
เธอย่อมถึงความเป็นผู้ควรเป็นพยานในธรรมนั้นๆ ได้ ในเมื่อเหตุมีอยู่ๆ
ถ้าเธอหวังว่า เราพึงระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง ฯลฯ พึงระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการดังนี้
เธอย่อมถึงความเป็นผู้ควรเป็นพยานในธรรมนั้นๆ ได้ ในเมื่อเหตุมีอยู่ๆ
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เราพึงเห็นหมู่สัตว์ ฯลฯ ด้วยทิพจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ พึงรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ฯลฯ
เธอย่อมถึงความเป็นผู้ควรเป็นพยานในธรรมนั้นๆ ได้ ในเมื่อเหตุมีอยู่ๆ
ถ้าเธอหวังว่า เราพึงกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่
เธอย่อมถึงความเป็นผู้ควรเป็นพยานในธรรมนั้นๆ ได้ ในเมื่อเหตุมีอยู่ๆ ฯ
–
22 กันยายน เวลา 18:50 น.
การปฏิบัติที่คนใช้เรียกกว่าการปฏิบัตินั้น สภาวะของวลัยพรนั้น จะไม่ใช่แบบนั้น จะว่าปฏิบัติก็ไม่ใช่ จะว่าไม่ปฏิบัติก็ไม่ใช่ แต่เป็นเรื่องของการกำหนดผัสสะที่มีเกิดขึ้นขณะดำเนินชีวิต(กลางวัน) และผัสสะที่มีเกิดขึ้นขณะกลางคืน
เมื่อคืนกลางดึก หัวใจมีอาการเหมือนถูกบีบแรง เอามือจับชีพจรโดยอัตโนมัติ(เคยชิน) ชีพจรเต้นเหมือนหัวใจเด็กแรกเกิด เต้นเร็วมากๆ จากนั่งปล่อยตัวสบาย มานั่งตัวตรง แล้วมีสติรู้สิ่งที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง สักพักหัวใจเริ่มเต้นช้าลงๆ จนกลับมาเต้นปกติ
ถ้าถามว่า ทำไมต้องนั่งตัวตรง
คำตอบ การนั่งตัวตรง จะรู้สึกว่าอาการที่หัวใจเหมือนถูกบีบ จะรู้ชัดผัสสะได้ดี คือรู้ชัดในแต่ละขณะ ตั้งแต่หัวใจถูกบีบ ส่วนจับชีพจร จะได้รู้ว่าเกิดจากอะไร หัวใจเต้นช้าหรือหัวใจเต้นเร็ว เวลาไปพบหมอตามนัด จะได้เล่าอาการให้หมอฟังได้ตรงอาการที่มีเกิดขึ้น อาการหัวใจเหมือนถูกบีบนี้ เพิ่งมีเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ครั้งอื่นๆจะมีอาการแน่นหน้าอกเหมือนมีของหนักทับไว้ ทำให้หายใจลำบาก ซึ่งมีเกิดน้อยลง ไม่เหมือนสมัยก่อนนั้นเกิดบ่อย และอาการวูบไม่เป็นลม แต่มีสติ เมื่อก่อนเกิดบ่อย หลังหมอหัวใจเปลี่ยนยากิน อาการวูบค่อยๆลดลงไป ยังมีเกิดขึ้นแต่น้อยลง เกิดสั้นๆ
คำว่า มั่นคง คือไม่มีหวั่นไหว ไม่มีสะดุ้ง ไม่มีความกลัว สักนิดก็ไม่มี มันแค่รู้ว่ามีเกิดขึ้น
–
03 กย. 63
นึกถึงหมอหัวใจที่รพ.ราม หมอเคยพูดถึงอุจจาระ เคยมีเลือดออกปนมั๊ย
หลังนั้นมา ทุกครั้งถ่ายหนัก จะดูทุกครั้งเวลาอึ สีแบบไหน มีสองครั้งอึเหมือนมีเลือดผสมอยู่ในก้อนอึ บางครั้งถ่ายสีคล้ำดำ บางครั้งถ่ายสีปกติ
วันที่ ๒๐ เดือนนี้หมอรามนัด เดิมมีเจาะเลือดไทรอยด์ เราจะขอเจาะเลือดดูcbc เพิ่ม ก่อนหน้าเราได้บอกหมอไว้ว่าขอเจาะแค่ดูไทรอยด์ เพราะหมอยังให้ยาปรับโฮโมนไทรอยด์อยู่
ช่วงหลังจะรู้สึกในห้องจะเย็นเหมือนเปิดแอร์ ทั้งๆที่เปิดพัดลมอย่างเดียว เราจะสังเกตุทุกอย่างที่มีเกิดขึ้นกับตัวเอง รู้สึกว่าช่วงหลังจิตเป็นสมาธินาน รู้สึกเย็นทั้งกาย มีโอภาสเกิดขึ้นบ่อย ทำให้เราไม่หิว จะชอบนั่งนิ่งๆ แล้วเข้าสู่ความดับ มันชอบนะ กว่าจะออกจากสมาธิ(หลังแปดโมงเช้า) ก็โน่นบ่ายสองมั่ง บ่ายสามมั่ง บ่ายสี่มั่ง ห้าโมงเย็นมั่ง
วันนี้เจ้านายอยู่ด้วย เราถามเขาว่า เขารู้สึกมัียว่าในห้องมันเย็น หรือรู้สึกตัวเองเย็นมั๊ย
เขาเอามือจับตัวเขาเอง เขาบอกว่ามันเย็นนะ
เราบอกว่า ที่ถามเพราะไม่แน่ใจเกิดจากโฮโมนในร่างกาย(เป็นพิษ) หรือเกิดจากสมาธิ หรือเกิดจากสภาพอากาศเย็น
เรื่องไทรอยด์เป็นพิษ ที่เจอกับตัวเอง ถึงผลเลือดจะปกติ แต่มันไปเกิดที่หัวใจ(เต้นผิดจังหวะ) จึงทำให้รู้ว่ายาที่กินอยู่ ให้ปริมาณน้อยไป จึงทำให้ไทรอยด์กลับมาเป็นพิษอีก เราต้องสังเกตุทุกอย่างที่มีเกิดขึ้นภายในร่างกาย เวลาพบหมอ จะต้องเล่าอาการที่มีเกิดขึ้นให้หมอฟัง ตอนนี้ 4 วัน กินยาmmi 5 mg ครึ่งเม็ด 2 เดือน ต่อไปกิน 5 วัน ครึ่งเม็ด 2 เดือน ตอนแรกหมอจะให้หยุดยา แต่เราไม่ยอม เราบอกว่าหมอจำไม่ได้เหรอ ครั้งก่อนให้ลองกินยาลดปริมาณค่อยๆลดทุกเดือน จนผลเลือดปกติ แต่ไทรอยด์กลับมาเป็นพิษ ทั้งๆที่ผลแลปปกติ เราไม่อยากเริ่มต้นใหม่อีก เรารอได้ หมอก็เลยตามใจ โดยดูผลแลป เมื่อเห็นว่ายังกินยาได้อยู่ จึงให้เรากินยาต่อได้
ซึ่งยาไทรอยด์ ก็มีผลกระทบต่อกระดูก ทำให้กระดูกพรุน ตอนนี้ความสูงลดลงไป 4 เซนต์ กระดูกหลังทรุดลง อาจเนื่องจากนั่งเป็นหลัก ไม่นอนราบ(เดาเอา)
.
ตอนนี้บัตรทองถูกยกเลิก ไม่สามารถใช้กับรพ.มงกุฏแจ้งฯ หมอหัวใจที่รพ.รามดูแลมาตั้งแต่แรก กลับมาดูแลเหมือนเดิม(หมอคนเดียว)
จริงๆแล้ว เกี่ยวกับความดัน ตั้งแต่ที่รักษามา หมอรพ.ราม ไม่เคยให้กินยาความดัน แต่ที่ต้องกินยาความดันเป็นวิธีการรักษาหัวใจของรพ.มงกุฏแจ้งฯ ด้วยจริยธรรมที่แพทย์จะไม่เข้าก่ายหมอเจ้าของไข้(บัตรทอง)
.
พิจรณาแล้ว เมื่อรักษาหมอเพียงคนเดียว ควรให้หมอใช้การรักษาโดยหมอที่รักษาอยู่ ร่วมทั้งเรื่องไทรอยด์และหัวใจ รวมทั้งยาต่างๆที่เคยกินอยู่(จากหมอรพ.มงกุฏที่เคยให้กิน)
.
เขียนไว้ก่อน จะรู้ต่อเมื่อพบหมอรพ.ราม ตามนัด