สัปบุรุษ
คำว่า สัปบุรุษ (สับ-บุ-หรุด) คือ ผู้สงบ เพราะดับกิเลสได้ตามลำดับ
ตัวสภาวะที่มีเกิดขึ้น ได้แก่ พระอนาคามี
สรทสูตร
[๕๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนในอากาศที่ปราศจากวลาหกในเมื่อสรทสมัยยังอยู่ห่างไกล
อาทิตย์ส่องแสงเงินแสงทองขึ้นไปยังท้องฟ้า
ขจัดความมืดมัวที่อยู่ในอากาศเสียทั้งหมดแล้ว
ส่องแสง แผดแสงและรุ่งโรจน์อยู่ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล
เมื่อใด ธรรมจักษุอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทินเกิดแก่อริยสาวก
อริยสาวกย่อมละสังโยชน์ ๓ อย่าง
คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสเสียได้เด็ดขาด
พร้อมกับเกิดขึ้นแห่งทัศนะ
เมื่อนั้น ธรรมจักษุชนิดอื่นอีก ไม่ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการ
คือ อภิชฌา ๑ พยาบาท ๑
อริยสาวกนั้นสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
บรรลุปฐมฌาน อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าอริยสาวกพึงทำกาละในสมัยนั้น
เธอย่อมไม่มีสังโยชน์ที่เป็นเหตุทำให้อริยสาวกผู้ยังประกอบ พึงกลับมายังโลกนี้อีก ฯ
“อริยสาวกย่อมละสังโยชน์ ๓ อย่าง
คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส เสียได้เด็ดขาด”
ได้แก่ โสดาปัตติผลที่มีเกิดขึ้นตามจริง
ให้สังเกตุคำว่า “เสียได้เด็ดขาด”
เป็นสภาวะของสมุจเฉทที่มีเกิดขึ้นตามจริง แม้จะไม่รู้ปริยัติก็ตาม
ได้แก่ กายสักขีบุคคล ทิฏฐิปัตตบุคคล สัทธาวิมุตบุคคล
คำว่า พร้อมกับเกิดขึ้นแห่งทัศนะ
ได้แก่ แจ้งอริยสัจ ๔
“เมื่อนั้น ธรรมจักษุชนิดอื่นอีก ไม่ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการ
คือ อภิชฌา ๑ พยาบาท ๑ “
คำว่า อภิชฌา
ได้แก่ ความโลภ
ที่เกิดจากราคะ
ความกำหนัดทางอายตนะที่มากระทบ
อยากได้ของคนอื่นจนทำผิดศิล เช่น ขโมย
คำว่า พยาบาท
ได้แก่ การจองเวร
ที่เกิดจากปฏิฆะ การกระทบกระทั่งทางอายตนะที่มากระทบ
โทสะที่มีเกิดขึ้น จนถึงขั้นอาฆาต พยาบาท จองเวร สาปแช่ง
แจ้งอริยสัจ ๔ ตามจริง เป็นครั้งที่ ๒
อายตนสูตร
ว่าด้วยอริยสัจ ๔
[๑๖๘๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสัจ ๔ เหล่านี้ อริยสัจ ๔ เป็นไฉน?
คือ ทุกขอริยสัจ ทุกขสมุทยอริยสัจ ทุกขนิโรธอริยสัจ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ.
[๑๖๘๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขอริยสัจเป็นไฉน?
ควรจะกล่าวว่า อายตนะภายใน ๖
อายตนะภายใน ๖ เป็นไฉน?
คือ อายตนะคือตา ฯลฯ อายตนะคือใจ
นี้เรียกว่า ทุกขอริยสัจ.
[๑๖๘๖] ก็ทุกขสมุทยอริยสัจเป็นไฉน?
ตัณหาอันทำให้มีภพใหม่
ประกอบด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ เพลิดเพลินยิ่งนักในอารมณ์นั้นๆ
ได้แก่กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
นี้เรียกว่า ทุกขสมุทยอริยสัจ.
[๑๖๘๗] ก็ทุกขนิโรธอริยสัจเป็นไฉน?
ความดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือแห่งตัณหานั้นแหละ
ความสละ ความวาง ความปล่อย ความไม่อาลัยตัณหานั้น
นี้เรียกว่า ทุกขนิโรธอริยสัจ.
[๑๖๘๘] ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจเป็นไฉน?
อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แหละ
คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ
นี้เรียกว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ.
[๑๖๘๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสัจ ๔ เหล่านี้แล
เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียร
เพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
การสดับธรรมจากสัปบุรุษ
จึงจะทำให้เข้าใจสภาวะหรือลักษณะอาการที่มีเกิดขึ้นตามจริง
ในคำเรียกที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้
๖. ฉฉักกสูตร (๑๔๘)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลอาศัยจักษุและรูปเกิดจักษุวิญญาณ
ความประจวบ ของธรรมทั้ง ๓ เป็นผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย ย่อมเกิดความเสวยอารมณ์
เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง มิใช่ทุกข์มิใช่สุขบ้าง
เขาอันสุขเวทนาถูกต้องแล้ว
ย่อมเพลิดเพลิน พูดถึง ดำรง อยู่ด้วยความติดใจ
จึงมีราคานุสัยนอนเนื่องอยู่
อันทุกขเวทนาถูกต้องแล้ว
ย่อมเศร้าโศก ลำ บาก ร่ำไห้ คร่ำครวญ ทุ่มอก ถึงความหลงพร้อม
จึงมีปฏิฆานุสัยนอนเนื่องอยู่
อันอทุกขมสุข เวทนา ถูกต้องแล้ว
ย่อมไม่ทราบชัดความตั้งขึ้น ความดับไป คุณ โทษ
และที่สลัดออกแห่ง เวทนานั้น ตามความเป็นจริง
จึงมีอวิชชานุสัยนอนเนื่องอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลนั้น
ยังไม่ละราคานุสัยเพราะสุขเวทนา
ยังไม่บรรเทาปฏิฆานุสัยเพราะทุกขเวทนา
ยังไม่ถอนอวิชชา นุสัยเพราะอทุกขมสุขเวทนา
ยังไม่ทำวิชชาให้เกิดเพราะไม่ละอวิชชาเสีย
และจักเป็นผู้กระทำที่ สุดแห่งทุกข์ในปัจจุบันได้ นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลอาศัยโสตะและเสียง เกิดโสตวิญญาณ …
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลอาศัยฆานะและกลิ่น เกิดฆานวิญญาณ …
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลอาศัยชิวหาและรส เกิดชิวหาวิญญาณ …
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลอาศัยกายและโผฏฐัพพะ เกิดกายวิญญาณ …
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลอาศัยมโนและธรรมารมณ์ เกิดมโนวิญญาณ
ความประจวบ ของธรรมทั้ง ๓ เป็นผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย ย่อมเกิดความเสวยอารมณ์
เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง มิใช่ทุกข์มิใช่สุขบ้าง
เขาอันสุขเวทนาถูกต้องแล้ว
ย่อมเพลิดเพลิน พูดถึง ดำรงอยู่ด้วยความติดใจ
จึงมีราคานุสัย นอนเนื่องอยู่
อันทุกขเวทนาถูกต้องแล้ว
ย่อมเศร้าโศก ลำบาก ร่ำไห้ คร่ำครวญทุ่มอก ถึงความหลงพร้อม
จึงมีปฏิฆานุสัยนอนเนื่องอยู่
อันอทุกขมสุขเวทนา ถูกต้องแล้ว
ย่อมไม่ทราบชัดความตั้งขึ้น ความดับไป คุณ โทษ
และที่สลัดออก แห่งเวทนานั้น ตามความเป็นจริง
จึงมีอวิชชานุสัยนอนเนื่องอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลนั้น
ยังไม่ละราคานุสัยเพราะสุขเวทนา
ยังไม่บรรเทาปฏิฆานุสัยเพราะทุกขเวทนา
ยังไม่ถอนอวิชชานุสัยเพราะอทุกขมสุขเวทนา
ยังไม่ทำวิชชาให้เกิดเพราะไม่ละอวิชชาเสีย
แล้วจักเป็นผู้กระทำที่สุดแห่งทุกข์ในปัจจุบัน ได้ นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ ฯ
——
เรื่องสัปบุรุษ
สิ่งที่ได้เขียนรายละเอียด
ตอนที่สภาวะมีเกิดขึ้น จะไม่รู้คำเรียกหรอก
จะรู้เพียงลักษณะสภาวะมีเกิดขึ้นเพียงอย่างเดียว
ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ
ความรู้ความเห็นที่มีเกิดขึ้น
เกิดจากการแจ้งอริยสัจ ๔ ตามจริง
ที่เกิดจากผลของการปฏิบัติ
ไม่ได้เกิดจากการฟัง อ่าน ท่องจำมาจากคนอื่น แล้วนำมาพูดอีกที
ความรู้เห็นตรงนี้ทั้งเป็นความรู้เห็นเฉพาะตนและสามารถคนที่ได้ฟัง อ่าน
สามารถปฏิบัติตามได้ และสามารถดับภพชาติของการเกิดได้
คือทำให้ภพชาติของการเกิดสั้นลง
จากแตกต่างจากท่องจำมาพูด แล้วนำมาพูดทำนองว่าตนรู้ตนเห็นด้วยตน
ความกล้าหาญ ความภาคภูมิใจ ย่อมมีเกิดขึ้นแตกต่างกัน
และมานะไม่สามารถกระทำอะไรได้
เพราะเป็นไปเพื่อดับ ไม่ใช่เพื่อเป็น รวมทั้งอามิสนานา
อันนี้พูดตามจริง
สามารถพูดเต็มปาก ไม่กระดากปาก ไม่รู้สึกละอายใจ
เพราะเจอกับตน เป็นผลของการปฏิบัติตามจริง
ผู้ปฏิบัติจะไปสู่มรรคสูงๆได้
ใจต้องสะอาด พยัญชนะสะอาด ไม่ไปเต็มไปด้วยตัณหาคือความอยาก
รู้ซื่อๆ เขียนซื่อๆ ไม่นำสิ่งที่เคยฟัง อ่านมา สำทับในสิ่งที่มีเกิดขึ้นในตน
แรกๆต้องทำแบบนั้นไปก่อน
สมัยนั้นจำได้แม่น ตอนนั้นไม่รู้ปริยัติมากมายนัก รู้นิดๆ
แต่การแจ้งอริยสัจ ๔ จะรู้เอง ไม่ได้ไปฟัง อ่านจากใครๆมา
เกิดจากกำลังสมาธิเนวสัญญาฯสัมมาสมาธิที่มีอยู่
มีเหตุให้เสื่อมหายไปหมดสิ้น
ด้วยเหตุนี้ จะรู้ด้วยตนว่า สภาวะที่มีเกิดขึ้น
ของคำเรียกเหล่านี้ คืออะไร จะรู้แค่นั้นก่อน
แต่การรู้ครั้งนี้คือการแจ้งอริยสัจ ๔ ตามจริง เป็นครั้งที่ ๒
ความเกิด ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ
ความดับ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ
เมื่อรู้ชัดลักษณะอาการที่มีเกิดขึ้นของคำเรียกนี้ๆ
ทำใหรู้ว่าสิ่งที่เคยฟัง อ่านจากแหล่งความรู้บางที่
ผู้ที่ได้เขียนหรือพูดอธิบายไว้านั้น
ไม่ตรงกับที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ในคำเรียกเหล่านั้น
กุณฑลิยสูตร
ตถาคตมีวิชชาและวิมุติเป็นผลานิสงส์
[๓๙๔] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่
ณ ป่าอัญชนมฤคทายวัน ใกล้เมืองสาเกต
ครั้งนั้นแล กุณฑลิยปริพาชกเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค
ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
ข้าพเจ้าเที่ยวไปในอาราม เข้าไปสู่บริษัท
เมื่อข้าพเจ้าบริโภคอาหารเช้าแล้ว ในเวลาปัจฉาภัต
ข้าพเจ้าเดินไปเนืองๆ เที่ยวไปเนืองๆ สู่อารามจากอาราม
สู่อุทยานจากอุทยาน ณ ที่นั้น ข้าพเจ้าเห็นสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง
กำลังกล่าวถ้อยคำมีวาทะและการเปลื้องวาทะว่าดังนี้
เป็นอานิสงส์ และมีความขุ่นเคืองเป็นอานิสงส์
ส่วนท่านพระโคดมมีอะไรเป็นอานิสงส์อยู่เล่า?
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรกุณฑลิยะ
ตถาคตมีวิชชาและวิมุติเป็นผลานิสงส์อยู่.
[๓๙๕] ก. ข้าแต่ท่านพระโคดมผู้เจริญ
ก็ธรรมเหล่าไหนที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังวิชชาและวิมุติให้บริบูรณ์?
พ. ดูกรกุณฑลิยะ โพชฌงค์ ๗ อันบุคคลเจริญแล้ว
กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังวิชชาและวิมุติให้บริบูรณ์.
ก. ข้าแต่ท่านพระโคดมผู้เจริญ
ก็ธรรมเหล่าไหนที่บุคคลเจริญแล้ว
กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์?
พ. ดูกรกุณฑลิยะ สติปัฏฐาน ๔ อันบุคคลเจริญแล้ว
กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์.
ก. ข้าแต่ท่านพระโคดมผู้เจริญ
ก็ธรรมเหล่าไหนที่บุคคลเจริญแล้ว
กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์?
พ. ดูกรกุณฑลิยะ สุจริต ๓ อันบุคคลเจริญแล้ว
กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์.
ก. ข้าแต่ท่านพระโคดมผู้เจริญ
ก็ธรรมเหล่าไหนที่บุคคลเจริญแล้ว
กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังสุจริต ๓ ให้บริบูรณ์?
[๓๙๖] พ. ดูกรกุณฑลิยะ
อินทรีย์สังวรอันบุคคลเจริญแล้ว
กระทำให้มากแล้วย่อมยังสุจริต ๓ ให้บริบูรณ์
อินทรีย์สังวรอันบุคคลเจริญแล้ว
กระทำให้มากแล้วอย่างไร ย่อมยังสุจริต ๓ ให้บริบูรณ์?
ดูกรกุณฑลิยะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เห็นรูปที่ชอบใจด้วยจักษุแล้ว
ย่อมไม่ยินดี ไม่ขึ้งเคียด ไม่ยังความกำหนัดให้เกิด
และกายของเธอก็คงที่ จิตก็คงที่ มั่นคงดีในภายใน หลุดพ้นดีแล้ว
อนึ่ง เธอเห็นรูปที่ไม่ชอบใจด้วยจักษุแล้ว ก็ไม่เก้อ
ไม่มีจิตตั้งอยู่ด้วยอำนาจกิเลส ไม่เสียใจ มีจิตไม่พยาบาท
และกายของเธอก็คงที่ จิตก็คงที่ มั่นคงดี ในภายใน หลุดพ้นดีแล้ว.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุฟังเสียงด้วยหู ฯลฯ
ดมกลิ่นด้วยจมูก ฯลฯ ลิ้มรสด้วยลิ้น ฯลฯ
ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ฯลฯ
รู้ธรรมารมณ์ที่ชอบใจ ด้วยใจแล้ว
ย่อมไม่ยินดี ไม่ขึ้งเคียด ไม่ยังความกำหนัดให้เกิด
และกายของเธอก็คงที่ จิตก็คงที่ มั่นคงดีในภายใน หลุดพ้นดีแล้ว
อนึ่ง เธอรู้ธรรมารมณ์ ที่ไม่ชอบใจด้วยใจแล้ว
ไม่เก้อ ไม่มีจิตตั้งอยู่ด้วยอำนาจกิเลส ไม่เสียใจ มีจิตไม่พยาบาท
และกายของเธอก็คงที่ จิตก็คงที่ มั่นคงดีในภายใน หลุดพ้นดีแล้ว.
ดูกรกุณฑลิยะ เพราะเหตุที่ภิกษุเห็นรูปด้วยจักษุแล้ว
เป็นผู้คงที่ ไม่เสียใจ มีจิตไม่พยาบาท
เพราะรูปทั้งที่ชอบใจและไม่ชอบใจ
กายของเธอก็คงที่ จิตก็คงที่ มั่นคงดีในภายใน หลุดพ้นดีแล้ว
ภิกษุฟังเสียงด้วยหู ฯลฯ ดมกลิ่นด้วยจมูก ฯลฯ ลิ้มรสด้วยลิ้น ฯลฯ ถูกต้องโผฏ-
*ฐัพพะด้วยกาย ฯลฯ
รู้ธรรมารมณ์ ด้วยใจแล้ว
เป็นผู้คงที่ ไม่เสียใจ มีจิตไม่พยาบาท
เพราะธรรมารมณ์ ที่ชอบใจและไม่ชอบใจ
และกายของเธอก็คงที่ จิตก็คงที่ มั่นคงดีในภายใน หลุดพ้นดีแล้ว
ดูกรกุณฑลิยะ อินทรีย์สังวรอันบุคคลเจริญแล้ว
กระทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล ย่อมยังสุจริต ๓ ให้บริบูรณ์.
[๓๙๗] ดูกรกุณฑลิยะ ก็สุจริตเหล่านั้นอันบุคคลเจริญแล้ว
กระทำให้มากแล้วอย่างไร ย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์?
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เจริญกายสุจริตเพื่อละกายทุจริต
เจริญวจีสุจริตเพื่อละวจีทุจริต
เจริญมโนสุจริตเพื่อละมโนทุจริต
สุจริต ๓ อันบุคคลเจริญแล้ว
กระทำให้มากแล้วอย่างนี้แล ย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์.
[๓๙๘] ดูกรกุณฑลิยะ สติปัฏฐาน ๔ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้วอย่างไร
ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์?
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
พึงกำจัด อภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ย่อมพิจารณา
เห็นเวทนาในเวทนาเนืองๆ อยู่ ฯลฯ
ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆ อยู่ ฯลฯ
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนืองๆ อยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้
ดูกรกุณฑลิยะ สติปัฏฐาน ๔ อันบุคคลเจริญแล้ว
กระทำให้มากแล้วอย่างนี้แล ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์.
[๓๙๙] ดูกรกุณฑลิยะ โพชฌงค์ ๗ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้วอย่างไร
ย่อมยังวิชชาและวิมุติให้บริบูรณ์?
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์
อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ฯลฯ
ย่อมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์
อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ
ดูกรกุณฑลิยะ โพชฌงค์ ๗ อันบุคคลเจริญแล้ว
กระทำให้มากแล้วอย่างนี้แล ย่อมยังวิชชาและวิมุติให้สมบูรณ์.
[๔๐๐] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว
กุณฑลิยปริพาชกได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก
ท่านพระโคดมทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย
เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง
หรือตามประทีปในที่มืดด้วยหวังว่าผู้มีจักษุจักเห็นรูปได้ ฉะนั้น
ข้าพระองค์ขอถึงท่านพระโคดมกับทั้งพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ
ขอท่านพระโคดม จงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะจนตลอดชีวิตจำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป.
อธิบาย
คำว่า หลุดพ้นดีแล้ว
ได้แก่ ละสักกายทิฏฐิ
ไม่เห็นเป็นตน ของตน
เกิดจากการสดับพระธรรมจากพระอริยะ สัตุบุรษ สัปบุรุษและปฏิบัติตาม
คำว่า ย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์
ได้แก่ การสดับพระธรรมจากพระอริยะ สัตบุรุษ สัปบุรุษและปฏิบัติตาม
ย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ มีเกิดขึ้นขณะดำเนิชีวิต
ได้แก่ สีลปาริสุทธิ
คือปราศจากตัณหาและทิฏฐิ
มีเกิดขึ้นขณะทำกรรมฐาน
ย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ มีเกิดขึ้นในสัมมาสมาธิ
ได้แก่ จิตปาริสุทธิ
คือปราศจากตัณหาและทิฏฐิ
และมีเกิดขึ้นขณะทำกาละ
ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสภาวะที่มีเกิดขึ้น
เป็นผู้ที่มีสติปัฏฐาน ๔ สมบูรณ์
๖. มหาธรรมสมาทานสูตร
ว่าด้วยธรรมสมาทาน ๔
[๕๒๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว.
[๕๒๑] พระผู้มีพระภาคตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
โดยมากสัตว์ทั้งหลาย มีความปรารถนา มีความพอใจ
มีความประสงค์อย่างนี้ว่า โอหนอ
ธรรมที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าชอบใจ พึงเสื่อมไป
ธรรมที่น่าปรารถนาที่น่าใคร่ ที่น่าชอบใจ พึงเจริญยิ่ง ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อสัตว์เหล่านั้นมีความปรารถนา มีความพอใจ มีความประสงค์อย่างนี้
ธรรมที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าชอบใจ ย่อมเจริญยิ่ง
ธรรมที่น่าปรารถนา ที่น่าใคร่ ที่น่าชอบใจ ย่อมเสื่อมไป
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในข้อนั้น พวกเธอย่อมเข้าใจเหตุนั้นอย่างไร?
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ธรรมทั้งหลายของพวกข้าพระองค์ มีพระผู้มีพระภาคเป็นต้นเค้า
มีพระผู้มีพระภาคเป็นผู้นำ มีพระผู้มีพระภาคเป็นที่พำนัก
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส
ขอเนื้อความแห่งพระภาษิตนั้น
จงแจ่มแจ้งแก่พระผู้มีพระภาคเถิด
ภิกษุทั้งหลาย ได้ฟังต่อพระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าอย่างนั้น พวกเธอจงฟังจงทำไว้ในใจให้ดีเราจักกล่าว.
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว.
[๕๒๒] พระผู้มีพระภาคตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับในโลกนี้
ไม่ได้เห็นพระอริยะ
ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ
ไม่ได้ฝึกในธรรมของพระอริยะ
ไม่ได้เห็นสัปบุรุษ
ไม่ฉลาดในธรรมของสัปบุรุษ
ไม่ได้ฝึกในธรรมของสัปบุรุษ
ย่อมไม่รู้จักธรรมที่ควรเสพ ไม่รู้จักธรรมที่ไม่ควรเสพ ไม่รู้จักธรรมที่ควรคบ ไม่รู้จักธรรมที่ไม่ควรคบ
เมื่อไม่รู้จักธรรมที่ควรเสพ ไม่รู้จักธรรมที่ไม่ควรเสพ ไม่รู้จักธรรมที่ควรคบ ไม่รู้จักธรรมที่ไม่ควรคบ
ก็เสพธรรมที่ไม่ควรเสพ ไม่เสพธรรมที่ควรเสพ คบธรรมที่ไม่ควรคบ ไม่คบธรรมที่ควรคบ
เมื่อเสพธรรมที่ไม่ควรเสพ ไม่เสพธรรมที่ควรเสพ คบธรรมที่ไม่ควรคบ ไม่คบธรรมที่ควรคบ
ธรรมที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าชอบใจ ก็เจริญยิ่ง
ธรรมที่น่าปรารถนาที่น่าใคร่ ที่น่าชอบใจ ก็เสื่อมไป ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุอะไร?
เป็นเพราะปุถุชนมิได้รู้ถูกต้อง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนอริยสาวกผู้สดับแล้ว
ได้เห็นพระอริยะ ฉลาดในธรรมของพระอริยะ
ได้ฝึกดีแล้วในธรรมของพระอริยะ
ได้เห็นสัปบุรุษฉลาดในธรรมของสัปบุรุษ
ได้ฝึกดีแล้วในธรรมของสัปบุรุษ
รู้จักธรรมที่ควรเสพรู้จักธรรมที่ไม่ควรเสพ รู้จักธรรมที่ควรคบ รู้จักธรรมที่ไม่ควรคบ
เมื่อรู้จักธรรมที่ควรเสพ รู้จักธรรมที่ไม่ควรเสพ รู้จักธรรมที่ควรคบ รู้จักธรรมที่ไม่ควรคบ
ก็ไม่เสพธรรมที่ไม่ควรเสพเสพธรรมที่ควรเสพ ไม่คบธรรมที่ไม่ควรคบ คบธรรมที่ควรคบ
เมื่อไม่เสพธรรมที่ไม่ควรเสพเสพธรรมที่ควรเสพ ไม่คบธรรมที่ไม่ควรคบ คบธรรมที่ควรคบ
ธรรมที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าชอบใจก็เสื่อมไป
ธรรมที่น่าปรารถนา ที่น่าใคร่ ที่น่าชอบใจ ก็เจริญยิ่ง
นั่นเป็นเพราะเหตุไร?
เป็นเพราะอริยสาวกรู้ถูกต้อง.
[๕๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมสมาทานนี้มี ๔ อย่าง ๔ อย่างเป็นไฉน?
ธรรมสมาทานที่มีทุกข์ในปัจจุบัน และมีทุกข์เป็นวิบากต่อไปก็มี
ธรรมสมาทานที่มีสุขในปัจจุบัน แต่มีทุกข์เป็นวิบากต่อไปก็มี
ธรรมสมาทานที่มีทุกข์ในปัจจุบัน แต่มีสุขเป็นวิบากต่อไปก็มี
ธรรมสมาทานที่มีสุขในปัจจุบัน และมีสุขเป็นวิบากต่อไปก็มี.
[๕๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาธรรมสมาทานเหล่านั้น
บุคคลไม่รู้จักธรรมสมาทาน ที่มีทุกข์ในปัจจุบัน
และมีทุกข์เป็นวิบากต่อไป ไปแล้วในอวิชชา
ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่าธรรมสมาทานนี้แล
มีทุกข์ในปัจจุบัน และมีทุกข์เป็นวิบากต่อไป
เมื่อไม่รู้จักธรรมสมาทานนั้น ไปแล้วในอวิชชา
ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง
จึงเสพธรรมสมาทานนั้น ไม่ละเว้นธรรมสมาทานนั้น
เมื่อเสพธรรมสมาทานนั้น ไม่ละเว้นธรรมสมาทานนั้น
ธรรมที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าชอบใจ ย่อมเจริญยิ่ง
ธรรมที่น่าปรารถนา ที่น่าใคร่ น่าชอบใจ ย่อมเสื่อมไป
นั่นเป็นเพราะเหตุอะไร?
เป็นเพราะบุคคลนั้นไม่รู้ถูกต้อง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาธรรมสมาทานเหล่านั้น
บุคคลไม่รู้จักธรรมสมาทานที่มีสุขในปัจจุบัน
แต่มีทุกข์เป็นวิบากต่อไป ไปแล้วในอวิชชา
ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่าธรรมสมาทานนี้แล
มีสุขในปัจจุบัน แต่มีทุกข์เป็นวิบากต่อไป
เมื่อไม่รู้จักธรรมสมาทานนั้น ไปแล้วในอวิชชา
ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง
จึงเสพธรรมสมาทานนั้น ไม่ละเว้นธรรมสมาทานนั้น
เมื่อเสพธรรมสมาทานนั้น ไม่ละเว้นธรรมสมาทานนั้น
ธรรมที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าชอบใจ ย่อมเจริญยิ่ง
ธรรมที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ ย่อมเสื่อมไป
นั่นเป็นเพราะเหตุอะไร?
เป็นเพราะบุคคลนั้นไม่รู้ถูกต้อง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาธรรมสมาทานเหล่านั้น
บุคคลไม่รู้จักธรรมสมาทาน ที่มีทุกข์ในปัจจุบัน
แต่มีสุขเป็นวิบากต่อไป ไปแล้วในอวิชชา
ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่าธรรมสมาทานนี้แล
มีทุกข์ในปัจจุบัน แต่มีสุขเป็นวิบากต่อไป
เมื่อไม่รู้จักธรรมสมาทานนั้น ไปแล้วในอวิชชา
ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง
จึงเสพธรรมสมาทานนั้น ไม่ละเว้นธรรมสมาทานนั้น
เมื่อเสพธรรมสมาทานนั้น ไม่ละเว้นธรรมสมาทานนั้น
ธรรมที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าชอบใจ ย่อมเจริญยิ่ง
ธรรมที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ ย่อมเสื่อมไป
นั่นเป็นเพราะเหตุอะไร?
เป็นเพราะบุคคลนั้นไม่รู้ถูกต้อง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาธรรมสมาทานเหล่านั้น
บุคคลไม่รู้จักธรรมสมาทานที่มีสุขในปัจจุบัน
และมีสุขเป็นวิบากต่อไป ไปแล้วในอวิชชา
ย่อมไม่รู้ชัดตามความจริงว่า ธรรมสมาทานนี้แล้ว
มีสุขในปัจจุบัน และมีสุขเป็นวิบากต่อไป
เมื่อไม่รู้จักธรรมสมาทานนั้น
ไปแล้วในอวิชชา ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง
จึงเสพธรรมสมาทานนั้น ไม่ละเว้นธรรมสมาทานนั้น.
เมื่อเสพธรรมสมาทานนั้น ไม่ละเว้นธรรมสมาทานนั้น
ธรรมที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าชอบใจ ย่อมเจริญยิ่ง
ธรรมที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ ย่อมเสื่อมไป.
นั่นเป็นเพราะเหตุอะไร?
เป็นเพราะบุคคลนั้นไม่รู้ถูกต้อง.
[๕๒๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาธรรมสมาทานเหล่านั้น
บุคคลรู้จักธรรมสมาทานที่มีทุกข์ในปัจจุบัน
และมีทุกข์เป็นวิบากต่อไป ไปแล้วในวิชชา
ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่าธรรมสมาทานนี้แล
มีทุกข์ในปัจจุบัน และมีทุกข์เป็นวิบากต่อไป.
เมื่อรู้จักธรรมสมาทานนั้นไปแล้วในวิชชา
รู้ชัดตามความเป็นจริง
จึงไม่เสพธรรมสมาทานนั้น ละเว้นธรรมสมาทานนั้น.
เมื่อไม่เสพธรรมสมาทานนั้น ละเว้นธรรมสมาทานนั้น
ธรรมที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าชอบใจ ย่อมเสื่อมไป
ธรรมที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ ย่อมเจริญยิ่ง.
นั่นเป็นเพราะเหตุอะไร?
เป็นเพราะบุคคลนั้นรู้ถูกต้อง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาธรรมสมาทานเหล่านั้น
บุคคลรู้จักธรรมสมาทานที่มีสุขในปัจจุบัน
แต่มีทุกข์เป็นวิบากต่อไป ไปแล้วในวิชชา
ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า ธรรมสมาทานนี้แล
มีสุขในปัจจุบัน แต่มีทุกข์เป็นวิบากต่อไป
เมื่อรู้จักธรรมสมาทานนั้น ไปแล้วในวิชชา
รู้ชัดตามความเป็นจริง
จึงไม่เสพธรรมสมาทานนั้น ละเว้นธรรมสมาทานนั้น.
เมื่อไม่เสพธรรมสมาทานนั้น ละเว้นธรรมสมาทานนั้น
ธรรมที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าชอบใจ ย่อมเสื่อมไป
ธรรมที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ ย่อมเจริญยิ่ง.
นั่นเป็นเพราะเหตุอะไร?
เป็นเพราะบุคคลนั้นรู้ถูกต้อง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาธรรมสมาทานเหล่านั้น
บุคคลรู้จักธรรมสมาทานที่มีทุกข์ในปัจจุบัน
แต่มีสุขเป็นวิบากต่อไป ไปแล้วในวิชชา
ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า ธรรมสมาทานนี้แล
มีทุกข์ในปัจจุบัน แต่มีสุขเป็นวิบากต่อไป.
เมื่อรู้จักธรรมสมาทานนั้น ไปแล้วในวิชชา
รู้ชัดตามความเป็นจริง
จึงไม่เสพธรรมสมาทานนั้น ละเว้นธรรมสมาทานนั้น
เมื่อไม่เสพธรรมสมาทานนั้น ละเว้นธรรมสมาทานนั้น
ธรรมที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าชอบใจ ย่อมเสื่อมไป
ธรรมที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ ย่อมเจริญยิ่ง.
นั่นเป็นเพราะเหตุอะไร?
เป็นเพราะบุคคลนั้นรู้ถูกต้อง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาธรรมสมาทานเหล่านั้น
บุคคลรู้จักธรรมสมาทานที่มีสุขในปัจจุบัน
และมีสุขเป็นวิบากต่อไป ไปแล้วในวิชชา
ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า ธรรมสมาทานนี้แล
มีสุขในปัจจุบัน และมีสุขเป็นวิบากต่อไป.
เมื่อรู้จักธรรมสมาทานนั้น ไปแล้วในวิชชา
รู้ชัดตามความเป็นจริง
จึงไม่เสพธรรมสมาทานนั้น ละเว้นธรรมสมาทานนั้น.
เมื่อไม่เสพธรรมสมาทานนั้น ละเว้นธรรมสมาทานนั้น
ธรรมที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าชอบใจ ย่อมเสื่อมไป
ธรรมที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ ย่อมเจริญยิ่ง.
นั่นเป็นเพราะเหตุอะไร?
เป็นเพราะบุคคลนั้นรู้ถูกต้อง.
[๕๒๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมสมาทานที่มีทุกข์ในปัจจุบัน
และมีทุกข์เป็นวิบากต่อไป เป็นไฉน?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นคนฆ่าสัตว์
พร้อมด้วยทุกข์บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง
ย่อมเสวยทุกขโทมนัส เพราะปาณาติบาตเป็นปัจจัย.
เป็นคนถือเอาทรัพย์ที่เขามิได้ให้
พร้อมด้วยทุกข์บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง
ย่อมเสวยทุกขโทมนัส เพราะอทินนาทานเป็นปัจจัย
เป็นคนประพฤติผิดในกาม
พร้อมด้วยทุกข์บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง
ย่อมเสวยทุกขโทมนัส เพราะกาเมสุมิจฉาจารเป็นปัจจัย
เป็นคนพูดเท็จ
พร้อมด้วยทุกข์บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง
ย่อมเสวยทุกขโทมนัส เพราะมุสาวาทเป็นปัจจัย.
เป็นคนมีวาจาส่อเสียด
พร้อมด้วยทุกข์บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง
ย่อมเสวยทุกขโทมนัส เพราะปิสุณาวาจาเป็นปัจจัย.
เป็นคนมีวาจาหยาบ
พร้อมด้วยทุกข์บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง
ย่อมเสวยทุกขโทมนัส เพราะผรุสวาจาเป็นปัจจัย
เป็นคนพูดเพ้อเจ้อ
พร้อมด้วยทุกข์บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง
ย่อมเสวยทุกขโทมนัส เพราะสัมผัปปลาปะเป็นปัจจัย.
เป็นคนมีอภิชฌามาก
พร้อมด้วยทุกข์บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง
ย่อมเสวยทุกขโทมนัส เพราะอภิชฌาเป็นปัจจัย
เป็นคนมีจิตพยาบาท
พร้อมด้วยทุกข์บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง
ย่อมเสวยทุกขโทมนัส เพราะพยาบาทเป็นปัจจัย
เป็นคนมีความเห็นผิด
พร้อมด้วยทุกข์บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง
ย่อมเสวยทุกขโทมนัส เพราะมิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัย.
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
เขาย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมสมาทานนี้
เรากล่าวว่า มีทุกข์ในปัจจุบัน และมีทุกข์เป็นวิบากต่อไป.
[๕๒๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ธรรมสมาทานที่มีสุขในปัจจุบัน
แต่มีทุกข์เป็นวิบากต่อไปเป็นไฉน?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นคนฆ่าสัตว์
พร้อมด้วยสุขบ้าง พร้อมด้วยโสมนัสบ้าง
ย่อมเสวยสุขโสมนัส เพราะปาณาติบาตเป็นปัจจัย.
เป็นคนถือเอาทรัพย์ที่เขามิได้ให้
พร้อมด้วยสุขบ้าง พร้อมด้วยโสมนัสบ้าง
ย่อมเสวยสุขโสมนัส เพราะอทินนาทานเป็นปัจจัย.
เป็นคนประพฤติผิดในกาม
พร้อมด้วยสุขบ้าง พร้อมด้วยโสมนัสบ้าง
ย่อมเสวยสุขโสมนัส เพราะกาเมสุมิจฉาจารเป็นปัจจัย.
เป็นคนพูดเท็จ
พร้อมด้วยสุขบ้าง พร้อมด้วยโสมนัสบ้าง
ย่อมเสวยสุขโสมนัส เพราะมุสาวาทเป็นปัจจัย.
เป็นคนมีวาจาส่อเสียด
พร้อมด้วยสุขบ้างพร้อมด้วยโสมนัสบ้าง
ย่อมเสวยสุขโสมนัส เพราะปิสุณาวาจาเป็นปัจจัย.
เป็นคนมีวาจาหยาบ
พร้อมด้วยสุขบ้าง พร้อมด้วยโสมนัสบ้าง
ย่อมเสวยสุขโสมนัส เพราะผรุสวาจาเป็นปัจจัย.
เป็นคนพูดเพ้อเจ้อ
พร้อมด้วยสุขบ้าง พร้อมด้วยโสมนัสบ้าง
ย่อมเสวยสุขโสมนัส เพราะสัมผัปปลาปะเป็นปัจจัย.
เป็นคนมีอภิชฌามาก
พร้อมด้วยสุขบ้าง พร้อมด้วยโสมนัสบ้าง
ย่อมเสวยสุขโสมนัส เพราะอภิชฌาเป็นปัจจัย.
เป็นคนมีจิตพยาบาท
พร้อมด้วยสุขบ้าง พร้อมด้วยโสมนัสบ้าง
ย่อมเสวยสุขโสมนัส เพราะพยาบาทเป็นปัจจัย
เป็นคนมีความเห็นผิด
พร้อมด้วยสุขบ้าง พร้อมด้วยโสมนัสบ้าง
ย่อมเสวยทุกขโทมนัส เพราะมิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัย.
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
เขาย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินินาต นรก.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมสมาทานนี้
เรากล่าวว่ามีสุขในปัจจุบัน แต่มีทุกข์เป็นวิบากต่อไป.
[๕๒๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ธรรมสมาทานที่มีทุกข์ในปัจจุบัน
แต่มีสุขเป็นวิบากต่อไปเป็นไฉน?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นคนเว้นขาดจากปาณาติบาต
พร้อมด้วยทุกข์บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง
ย่อมเสวยทุกขโทมนัส เพราะการเว้นจากปาณาติบาตเป็นปัจจัย.
เป็นคนเว้นขาดจากอทินนาทาน
พร้อมด้วยทุกข์บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง
ย่อมเสวยทุกขโทมนัส เพราะการเว้นจากอทินนาทานเป็นปัจจัย.
เป็นคนเว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม
พร้อมด้วยทุกข์บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง
ย่อมเสวยทุกขโทมนัส เพราะการเว้นจากกาเมสุมิจฉาจารเป็นปัจจัย.
เป็นคนเว้นขาดจากมุสาวาท
พร้อมด้วยทุกข์บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง
ย่อมเสวยทุกขโทมนัส เพราะการเว้นจากมุสาวาทเป็นปัจจัย.
เป็นคนเว้นขาดจากปิสุณาวาจา
พร้อมด้วยทุกข์บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง
ย่อมเสวยทุกขโทมนัส เพราะการเว้นจากปิสุณาวาจาเป็นปัจจัย
เป็นคนเว้นจากผรุสวาจา พร้อมด้วยทุกข์บ้าง
พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง ย่อมเสวยทุกขโทมนัส
เพราะการเว้นจากผรุสวาจาเป็นปัจจัย.
เป็นคนเว้นขาดจากสัมผัปปลาปะ
พร้อมด้วยทุกข์บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง
ย่อมเสวยทุกขโทมนัส เพราะเว้นจากสัมผัปปลาปะเป็นปัจจัย.
เป็นคนไม่มีอภิชฌามาก
พร้อมด้วยทุกข์บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง
ย่อมเสวยทุกขโทมนัส เพราะอนภิชฌาเป็นปัจจัย.
เป็นคนมีจิตไม่พยาบาท
พร้อมด้วยทุกข์บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง
ย่อมเสวยทุกขโทมนัส เพราะการไม่พยาบาทเป็นปัจจัย
เป็นคนมีความเห็นชอบ
พร้อมด้วยทุกข์บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง
ย่อมเสวยทุกขโทมนัส เพราะสัมมาทิฏฐิเป็นปัจจัย.
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมสมาทานนี้
เรากล่าวว่า มีทุกข์ในปัจจุบันแต่มีสุขเป็นวิบากต่อไป.
[๕๒๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ธรรมสมาทานที่มีสุขในปัจจุบัน และมีสุขเป็นวิบากต่อไปเป็นไฉน?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นคนเว้นขาดจากปาณาติบาต
พร้อมด้วยสุขบ้าง พร้อมด้วยโสมนัสบ้าง
ย่อมเสวยสุขโสมนัส เพราะการเว้นจากปาณาติบาตเป็นปัจจัย.
เป็นคนเว้นขาดจากอทินนาทาน
พร้อมด้วยสุขบ้าง พร้อมด้วยโสมนัสบ้าง
ย่อมเสวยสุขโสมนัส เพราะการเว้นจากอทินนาทานเป็นปัจจัย.
เป็นคนเว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม
พร้อมด้วยสุขบ้าง พร้อมด้วยโสมนัสบ้าง
ย่อมเสวยสุขโสมนัส เพราะการเว้นจากกาเมสุมิจฉาจารเป็นปัจจัย.
เป็นคนเว้นขาดจากมุสาวาท
พร้อมด้วยสุขบ้าง พร้อมโสมนัสบ้าง
ย่อมเสวยสุขโสมนัส เพราะการเว้นจากมุสาวาทเป็นปัจจัย.
เป็นคนเว้นขาดจากปิสุณาวาจา
พร้อมด้วยสุขบ้าง พร้อมด้วยโสมนัสบ้าง
ย่อมเสวยสุขโสมนัส เพราะการเว้นจากปิสุณาวาจา เป็นปัจจัย.
เป็นคนเว้นขาดจากผรุสวาจา
พร้อมด้วยสุขบ้าง พร้อมด้วยโสมนัสบ้าง
ย่อมเสวยสุขโสมนัส เพราะการเว้นจากผรุสวาจาเป็นปัจจัย.
เป็นคนเว้นขาดจากสัมผัปปลาปะ
พร้อมด้วยสุขบ้าง พร้อมด้วยโสมนัสบ้าง
ย่อมเสวยสุขโสมนัส เพราะการเว้นจากสัมผัปปลาปะเป็นปัจจัย.
เป็นคนไม่มีอภิชฌามาก
พร้อมด้วยสุขบ้าง พร้อมด้วยโสมนัสบ้าง
ย่อมเสวยสุขโสมนัส เพราะความไม่มีอภิชฌาเป็นปัจจัย.
เป็นคนมีจิตไม่พยาบาท
พร้อมด้วยสุขบ้าง พร้อมด้วยโสมนัสบ้าง
ย่อมเสวยสุขโสมนัส เพราะความไม่พยาบาทเป็นปัจจัย.
เป็นคนมีความเห็นชอบ
พร้อมด้วยสุขบ้างพร้อมด้วยโสมนัสบ้าง
ย่อมเสวยสุขโสมนัส เพราะสัมมาทิฏฐิเป็นปัจจัย
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมสมาทานนี้
เรากล่าวว่ามีสุขในปัจจุบัน และมีสุขเป็นวิบากต่อไป.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมสมาทานมี ๔ อย่างเหล่านี้แล.
อุปมา ๕ ข้อ
[๕๓๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนน้ำเต้าขมอันระคนด้วยยาพิษ.
บุรุษที่รักชีวิตไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์
มาถึงเข้า ประชุมชนบอกเขาว่าดูกรบุรุษผู้เจริญ
น้ำเต้าขมนี้ระคนด้วยยาพิษ ถ้าท่านหวังจะดื่ม ก็ดื่มเถิด
น้ำเต้าขมนั้น จักไม่อร่อยแก่ท่านผู้ดื่ม
ทั้งสีทั้งกลิ่น ทั้งรส
ครั้นท่านดื่มเข้าแล้วจักถึงตาย หรือจักถึงทุกข์ปางตาย.
บุรุษนั้นไม่พิจารณาน้ำเต้าขมนั้นแล้ว ดื่มมิได้วาง.
ก็ไม่อร่อย เพราะสีบ้าง กลิ่นบ้าง รสบ้าง
ครั้นดื่มแล้ว พึงถึงตายหรือพึงถึงทุกข์ปางตาย แม้ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวธรรมสมาทานนี้
ที่มีทุกข์ในปัจจุบันและมีทุกข์เป็นวิบากต่อไป ว่ามีอุปมาฉันนั้น.
[๕๓๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนภาชนะน้ำหวานอันน่าดื่ม
ถึงพร้อมด้วยสีกลิ่น และรส แต่ระคนด้วยยาพิษ.
บุรุษที่รักชีวิต ไม่อยากตาย รักสุขเกลียดทุกข์ มาถึงเข้า.
ประชุมชนก็บอกเขาว่า ดูกรบุรุษผู้เจริญ
ภาชนะน้ำหวานอันน่าดื่ม
ถึงพร้อมด้วยสี กลิ่น และรส แต่ละคนด้วยยาพิษ
ถ้าท่านหวังจะดื่ม ก็ดื่มเถิด
ภาชนะน้ำหวานนั้น
จักชอบใจแก่ท่านผู้ดื่ม ทั้งสี ทั้งกลิ่น ทั้งรส
ครั้นท่านดื่มเข้าแล้วจักถึงตาย หรือจักถึงทุกข์ปางตาย
บุรุษนั้นไม่พิจารณาภาชนะน้ำหวานนั้นแล้ว ดื่มมิได้วาง
ก็ชอบใจทั้งสี ทั้งกลิ่น ทั้งรส ครั้นดื่มแล้ว
พึงถึงตายหรือพึงถึงทุกข์ปางตาย แม้ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวธรรมสมาทานนี้
ที่มีสุขในปัจจุบันแต่มีทุกข์เป็นวิบากต่อไป ว่ามีอุปมาฉันนั้น.
[๕๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนมูตรเน่าอันระคนด้วยยาต่างๆ.
บุรุษที่เป็นโรคผอมเหลืองมาถึงเข้า.
ประชุมชนบอกเขาว่า ดูกรบุรุษผู้เจริญ
มูตรเน่าอันระคนด้วยยาต่างๆนี้
ถ้าท่านหวังจะดื่ม ก็ดื่มเถิด
มูตรเน่าจักไม่ชอบใจแก่ท่านผู้ดื่ม ทั้งสี ทั้งกลิ่น ทั้งรส
ก็แต่ท่านครั้นดื่มเข้าไปแล้ว จักมีสุข.
บุรุษนั้นพิจารณาแล้วดื่มมิได้วาง
ก็ไม่ชอบใจ ทั้งสี ทั้งกลิ่น ทั้งรส ครั้นดื่มแล้ว ก็มีสุข แม้ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวธรรมสมาทานนี้
ที่มีทุกข์ในปัจจุบัน แต่มีสุขเป็นวิบากต่อไป ว่ามีอุปมาฉันนั้น.
[๕๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนนมส้ม น้ำผึ้ง เนยใส และน้ำอ้อย
เขาระคนเข้าด้วยกัน.
บุรุษผู้เป็นโรคลงโลหิตมาถึงเข้า ประชุมชนบอกเขาว่า ดูกรบุรุษผู้เจริญ
นมส้ม น้ำผึ้ง เนยใส และน้ำอ้อยนี้ เขาระคนรวมกันเข้า
ท่านหวังจะดื่ม ก็ดื่มเถิด
ยานั้นจักชอบใจแก่ท่านผู้ดื่ม ทั้งสี ทั้งกลิ่น ทั้งรส
และท่านครั้นดื่มเข้าแล้ว จักมีสุข.
บุรุษนั้นพิจารณายานั้นแล้ว ดื่มมิได้วาง
ก็ชอบใจทั้งสี ทั้งกลิ่น ทั้งรส ครั้นดื่มเข้าแล้ว ก็มีสุข แม้ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวธรรมสมาทานนี้
ที่มีสุขในปัจจุบัน และมีสุขเป็นวิบากต่อไป ว่ามีอุปมาฉันนั้น.
[๕๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ในสารทสมัยเดือนท้ายแห่งฤดูฝน
ในอากาศอันโปร่งปราศจากเมฆ ดวงอาทิตย์ลอยอยู่ในท้องฟ้า
กำจัดมืดอันมีในอากาศทั้งสิ้นย่อมส่องสว่าง แผดแสงไพโรจน์ แม้ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมสมาทานนี้ที่มีสุขในปัจจุบัน และมีสุขเป็นวิบากต่อไป
กำจัดแล้วซึ่งวาทะของประชาชน
คือ สมณะ และพราหมณ์เป็นอันมากเหล่าอื่น
ย่อมสว่างรุ่งเรือง ไพโรจน์ ฉันนั้นเหมือนกัน.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว
ภิกษุเหล่านั้นมีใจชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ฉะนี้แล.