สภาวะในช่วงนี้ขณะที่เดินหรือการรู้ในอิริยาบทย่อยแม้กระทั่งขณะที่กำลังนั่งอยู่ สามารถรู้อยู่ในรูป,นามได้ดี รู้สึกตัวได้อย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งในการใช้ชีวิตในการทำงานหรือชีวิตโดยทั่วๆไป รู้อยู่ในกายได้ชัดมากขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งมีบางสภาวะเกิดขึ้นในจิต สมาธิจะเกิดขึ้นตามประกบทันที สภาวะนั้นจะดับหายไป มันช่างน่าอัศจรรย์เสียจริงๆ
แล้วในช่วงระหว่างเดินทางกลับบ้าน ขณะที่นั่งอยู่ในรถรับส่ง จิตรู้อยู่ในกายมากขึ้นเรื่อยๆ สมาธิเกิดตลอด มีหลายๆสภาวะ หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้น เราเริ่มดูทันและรู้ทันมากขึ้นเรื่อยๆ มันจะแยกออกจากกันเป็นส่วนๆ เหมือนเป็นนักวิจัยไปเลย
วันนี้ทั้งวันปฏิบัติได้ดีทั้งวัน รู้ชัดในกายได้ต่อเนื่อง สมาธิแนบแน่นดีตลอด ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกอย่างไม่เที่ยงหรอก กฏข้อนี้เรารู้ดี จึงไม่ได้ยึดติดในสภาวะที่เกิดขึ้นในแต่ละขณะนั้นๆ มันแค่รู้ จะไปเอาอะไรกับสภาวะ โดนทดสอบตลอดเวลา
เรื่องการให้ค่ายังคงมีอยู่ แต่หายไปไวมากขึ้น เพราะพอเริ่มรู้ทันความคิดว่ากำลังให้ค่าแล้วนะ ความคิดที่ให้ค่าต่อสิ่งที่มากระทบหรือความรู้สึกนั้นๆจะค่อยๆหายไปเอง โดยที่ไม่ต้องไปกำหนดอะไรเลย เพียงรู้เท่าทันในสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง
การรู้อยู่ในกาย หรือที่เรียกว่า รู้อยู่ในรูป,นาม เปรียบเสมือนยารักษาจิตชั้นดี เพราะจิตไม่ไปซัดส่ายนอกกาย ไม่ไหลไปหาทั้งอดีตและอนาคต เหตุใหม่ที่จะเกิดขึ้นย่อมไม่มี ตอนนี้จึงมีแต่เหตุดีๆเกิดขึ้นในชีวิตมากมาย เราจึงมีแต่จะให้และก็ให้ผู้อื่นตลอดเวลา
วันก่อนให้หมูหยองไป วันนี้กลับได้หมูหยองกลับคืนมา แปลกดีไหมล่ะ? ให้อะไรไป ได้สิ่งนั้นกลับคืนมา ทั้งๆที่ในการให้แต่ละครั้งของเรานั้นไม่ได้ให้แบบหวังผลใดๆเลย
เครื่องมือที่จะตั้งรับมือกับกิเลสได้ดีที่สุดคือ การรู้อยู่กับรูป,นาม เพราะนับวันสภาวะของกิเลสจะเจอแต่ตัวความพอใจ หรือที่เรีกว่าตัวกามราคะ น้อยนักที่จะเจอตัวปฏิฆะ เพราะตัวปฏิฆะย่อมละได้ง่าย เมื่อเข้าใจถึงเหตุที่ทำและผลที่ได้รับแบบชัดเจน
ส่วนตัวกามราคะหรือความยินดี ความพอใจนั้น จะเจอแบบหยาบๆก่อน พอมาเจอสภาวะที่ละเอียด เป็นรูปที่ละเอียด คือเกี่ยวกับความรู้สึก ไม่ใช่รูปแบบหยาบๆที่มองเห็นได้ จะเเป็นสภาวะที่เจอบททดสอบที่ยากมากขึ้นเรื่อยๆ การรู้อยู่กับรูป,นามได้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ