๘. วาเสฏฐสูตร
ทรงโปรดวาเสฏฐมาณพ
ครั้งนั้นวาเสฏฐมาณพและภารทวาชมาณพ
มีถ้อยคำพูดกันในระหว่างนี้เกิดขึ้นว่า ท่านผู้เจริญ อย่างไรบุคคลจึงจะชื่อว่า เป็นพราหมณ์?
ภารทวาชมาณพกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ บุคคลเป็นผู้เกิดดีทั้งสองฝ่าย คือ
ทั้งฝ่ายมารดาและฝ่ายบิดา มีครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิอันบริสุทธิ์ตลอด ๗ ชั่วบรรพบุรุษ
ไม่มีใครคัดค้านติเตียนด้วยอ้างถึงชาติได้ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล บุคคลจึงจะชื่อว่าเป็นพราหมณ์.
วาเสฏฐมาณพกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ บุคคลเป็นผู้มีศีล และถึงพร้อมด้วยวัตร
ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล บุคคลจึงจะชื่อว่าเป็นพราหมณ์
ภารทวาชมาณพไม่อาจให้วาเสฏฐมาณพยินยอมได้
ถึงวาเสฏฐมาณพก็ไม่อาจให้ภารทวาชมาณพยินยอมได้เหมือนกัน.
.
[๗๐๗] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรวาเสฏฐะ เราจักพยากรณ์
การจำแนกชาติ ของสัตว์ทั้งหลาย ตามลำดับ ตามสมควรแก่ท่านทั้งสองนั้น
เราเรียกบุคคลผู้ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล
ผู้ไม่ยึดมั่นนั้น ว่าเป็นพราหมณ์
ผู้ใดแลตัดสังโยชน์ทั้งปวงได้แล้วไม่สะดุ้ง
เราเรียกผู้นั้นผู้ล่วงกิเลสเครื่องข้อง
ไม่ประกอบด้วยสรรพกิเลส ว่าเป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลผู้ตัดอุปนาหะดังชะเนาะ
ตัณหาดังเชือกหนัง ทิฏฐิดังเชือกบ่วง
พร้อมทั้งทิฏฐานุสัยประดุจปม มีอวิชชาดุจลิ่มสลักถอนขึ้นแล้ว
ผู้ตรัสรู้แล้ว ว่าเป็นพราหมณ์
ผู้ใดไม่ประทุษร้าย อดกลั้นคำด่า การทุบตีและการจองจำได้
เราเรียกผู้มีขันติ เป็นกำลังดังหมู่พลนั้น ว่าเป็นพราหมณ์
เราเรียก บุคคลผู้ไม่โกรธ ผู้มีองค์ธรรมเป็นเครื่องกำจัด มีศีล
ไม่มีกิเลสดุจฝ้า ฝึกฝนแล้ว มีสรีระตั้งอยู่ในที่สุดนั้น ว่าเป็นพราหมณ์
ผู้ใดไม่ติดในกามทั้งหลาย เหมือนน้ำบนใบบัว
หรือดังเมล็ดพันธุ์ผักกาดบนปลายเหล็กแหลม
เราเรียกผู้นั้นว่า เป็นพราหมณ์
ผู้ใดรู้ธรรมเป็นที่สิ้นทุกข์ของตนในภพนี้เอง
เราเรียกผู้ปลงภาระผู้ไม่ประกอบแล้วนั้น ว่าเป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลผู้มีปัญญาอันเป็นไปในอารมณ์อันลึก
มีเมธา ฉลาดในอุบายอันเป็นทางและมิใช่ทาง
บรรลุประโยชน์อันสูงสุด ว่าเป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลผู้ไม่คลุกคลีด้วยคฤหัสถ์ และบรรพชิตทั้งสองพวก
ผู้ไปได้ด้วยไม่มีความอาลัย ผู้ไม่มีความปรารถนา ว่าเป็นพราหมณ์
ผู้ใดวางอาชญาในสัตว์ทั้งหลาย ทั้งเป็นสัตว์ที่หวั่นหวาด และมั่นคง
ไม่ฆ่าเอง ไม่ใช้ผู้อื่นให้ฆ่า เราเรียกผู้นั้นว่าพราหมณ์
เราเรียกบุคคลผู้ไม่พิโรธตอบในผู้พิโรธ ดับอาชญาในตนได้
ในเมื่อสัตว์ทั้งหลายมีความถือมั่น ไม่มีความถือมั่น ว่าเป็นพราหมณ์
ผู้ใดทำราคะ โทสะ มานะ และมักขะให้ตกไป
ดังเมล็ดพันธุ์ผักกาดตกจากปลายเหล็กแหลม เราเรียกผู้นั้นว่าเป็นพราหมณ์
ผู้ใดกล่าววาจาสัตย์ อันไม่มีโทษให้ผู้อื่นรู้สึกได้
อันไม่เป็นเครื่องขัดใจคน เราเรียกผู้นั้นว่าเป็นพราหมณ์
แม้ผู้ใดไม่ถือเอาภัณฑะทั้งยาวหรือสั้น เล็กหรือใหญ่ งามหรือไม่งาม
ที่เจ้าของไม่ให้ในโลก เราเรียกผู้นั้นว่าเป็นพราหมณ์
ผู้ใด ไม่มีความหวังทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า
เราเรียกผู้ไม่มีความหวัง ผู้ไม่ประกอบแล้วนั้น ว่าเป็นพราหมณ์
ผู้ใดไม่มีความอาลัย ไม่มีความสงสัยเพราะรู้ทั่วถึง
เราเรียกผู้บรรลุธรรมอันหยั่งลงในอมตธรรมนั้น ว่าเป็นพราหมณ์
ผู้ใดล่วงธรรมเป็นเครื่องข้องทั้งสอง คือ บุญและบาปในโลกนี้ได้
เราเรียกผู้ไม่เศร้าโศก ปราศจากธุลี ผู้บริสุทธิ์นั้น ว่าเป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลผู้ปราศจากมลทิน บริสุทธิ์ผ่องใสไม่ขุ่นมัว ดังดวงจันทร์
มีความเพลิดเพลินในภพสิ้นแล้ว ว่าเป็นพราหมณ์
ผู้ใดล่วงอวิชชาประดุจทางลื่น หรือดุจหล่มอันถอนได้ยาก
เป็นเครื่องให้ท่องเที่ยวให้หลงนี้ได้ ข้ามถึงฝั่งแล้ว มีความเพ่งอยู่
ไม่หวั่นไหว ไม่มีความสงสัย ดับแล้วเพราะไม่ถือมั่น
เราเรียกผู้นั้น ว่าเป็นพราหมณ์
ผู้ใดละกามได้ขาดแล้ว เป็นบรรพชิต เว้นรอบในโลกนี้
เราเรียกผู้มีกามและภพสิ้นรอบแล้วนั้น ว่าเป็นพราหมณ์
ผู้ใดละตัณหาได้ขาดแล้ว เป็นบรรพชิต เว้นรอบในโลกนี้
เราเรียกผู้มีกามและภพสิ้นรอบแล้วนั้น ว่าเป็นพราหมณ์
ผู้ใดละกามคุณอันเป็นของมนุษย์ ล่วงกามคุณอันเป็นของทิพย์แล้ว
เราเรียกผู้ไม่ประกอบด้วย กิเลสเครื่องประกอบทั้งปวงนั้น ว่าเป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลผู้ละความยินดีและความไม่ยินดี
เป็นผู้เย็น ไม่มีอุปธิครอบงำโลกทั้งปวง ผู้แกล้วกล้านั้น ว่าเป็นพราหมณ์
ผู้ใดรู้ จุติ และอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย โดยประการทั้งปวง
เราเรียกผู้ไม่ข้อง ผู้ไปดี ตรัสรู้แล้วนั้น ว่าเป็นพราหมณ์
เทวดา คนธรรพ์และหมู่มนุษย์ไม่รู้คติของผู้ใด
เราเรียกผู้นั้น ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว เป็นพระอรหันต์ ว่าเป็นพราหมณ์
ผู้ใดไม่มีกิเลสเครื่องกังวลทั้งข้างหน้า ข้างหลัง และท่ามกลาง
เราเรียกผู้ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ผู้ไม่ถือมั่นนั้น ว่าเป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลผู้องอาจ ผู้ประเสริฐ ผู้แกล้วกล้า
ผู้แสวงหาคุณใหญ่ ผู้ชำนะแล้วโดยวิเศษ ผู้ไม่หวั่นไหว
อาบเสร็จแล้ว ตรัสรู้แล้วนั้น ว่าเป็นพราหมณ์
ผู้ใดรู้ญาณเครื่องระลึกชาติก่อนได้ เห็นสวรรค์และอบาย
และบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นชาติ เราเรียกผู้นั้น ว่าเป็นพราหมณ์
อันชื่อคือนามและโคตรที่กำหนดตั้งไว้นี้ เป็นแต่สักว่าโวหารในโลก
เพราะเกิดขึ้นมาตามชื่อที่กำหนดตั้งกันไว้ในกาลนั้นๆ
ทิฏฐิอันนอนเนื่องอยู่ในหทัยสิ้นกาลนาน ของสัตว์ทั้งหลายผู้ไม่รู้
เมื่อสัตว์ทั้งหลายไม่รู้ก็พร่ำกล่าวว่าเป็นพราหมณ์เพราะชาติ
บุคคลจะชื่อว่าเป็นคนชั่วเพราะชาติก็หาไม่
จะชื่อว่าเป็นพราหมณ์เพราะชาติก็หาไม่
ที่แท้ ชื่อว่าเป็นคนชั่วเพราะกรรม
ชื่อว่าเป็นพราหมณ์เพราะกรรม
เป็นชาวนาเพราะกรรม
เป็นศิลปินเพราะกรรม
เป็นพ่อค้าเพราะกรรม
เป็นคนรับใช้เพราะกรรม
แม้เป็นโจรก็เพราะกรรม
แม้เป็นทหารก็เพราะกรรม
เป็นปุโรหิตเพราะกรรม
แม้เป็นพระราชาก็เพราะกรรม
บัณฑิตทั้งหลายมีปกติเห็นปฏิจจสมุปบาท
ฉลาดในกรรมและวิบาก ย่อมเห็นกรรมนั้นแจ้งชัดตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า
โลกย่อมเป็นไปเพราะกรรม
หมู่สัตว์ย่อมเป็นไปเพราะกรรม
สัตว์ทั้งหลายถูกผูกไว้ในกรรม
เหมือนลิ่มสลักของรถที่กำลังแล่นไปฉะนั้น
บุคคลชื่อว่าเป็นพราหมณ์ด้วยกรรมอันประเสริฐนี้ คือ
ตบะ พรหมจรรย์ สัญญมะ และทมะ
กรรม ๔ อย่างนี้ เป็นกรรมอันสูงสุดของพรหมทั้งหลาย
ทำให้ผู้ประพฤติถึงพร้อมด้วยวิชชา ๓
ระงับกิเลสได้ สิ้นภพใหม่แล้ว
ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจงรู้อย่างนี้ว่า
ผู้นั้นชื่อว่าเป็นพรหม เป็นท้าวสักกะ ของบัณฑิตผู้รู้แจ้งทั้งหลาย.
[๗๐๘] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว วาเสฏฐมาณพและภารทวาชมาณพ ได้
กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย
เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางให้แก่คนหลงทาง หรือตามประทีปไว้ในที่มืด
ด้วยหวังว่า ผู้มีจักษุจะได้เห็นรูปได้ฉะนั้น
ข้าพระองค์ทั้งสองนี้ ขอถึงพระโคดมผู้เจริญกับทั้งพระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ
ขอพระองค์โปรดทรงจำข้าพระองค์ทั้งสองว่าเป็นอุบาสก
ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉะนี้แล.
http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=13&A=11070&Z=11248