๒๕ ตค.๕๔
รอบแรก เดิน ๒ ชม. นั่ง ๑ ชม. ๕๐ นาที
ความแตกต่างของสภาวะเกี่ยวกับการปฏิบัติ ระหว่างอยู่ที่บ้านกับที่ทำงาน
ที่ทำงาน ถึงแม้จะมีงานให้ทำเป็นระยะๆ แต่เนื่องด้วยสภาวะแวดล้อม ความสงบภายในห้องทำงาน อากาศเย็นสบาย เพราะเป็นห้องแอร์ มีที่นั่งทั้งที่พื้น และโซฟา คือเป็นสถานที่ที่เป็นสัปปายะเหมาะแก่การปฏิบัติสำหรับสภาวะของตัวเราเอง
ที่บ้าน มีงานบ้านที่ต้องให้ทำ หรือแม้กระทั่งมีแต่ไม่ทำก็ได้ สภาวะในการปฏิบัติเต็มรูปแบบนั้นมีน้อยมากๆ เนื่องจากสภาวะแวดล้อม อากาศ กิเลสเยอะมากๆเวลาที่อยู่บ้าน เรียกว่าเจอผัสสะต่างๆเยอะ และต่อให้ติดแอร์ ก็ใช่ว่าจะเป็นตัวช่วย
ในดีมีเสีย ในเสียมีดี
ทั้งดีและเสีย ล้วนเกิดจากความรู้สึกนึกคิดทั้งสิ้น ที่ว่าดี เพราะถูกใจ ที่ว่าไม่ดีหรือเสียเพราะไม่ถูกใจ ฉะนั้น จึงเจอสภาวะทั้งสองนี้ควบคู่ตลอดเวลา พอเห็นว่าไม่ดี จะต้องเห็นข้อดีผุดขึ้นมา พอเห็นข้อดี จะต้องเห็นข้อเสียผุดขึ้นมา
ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์ ๑๐๐% เนื่องจากเหตุที่ทำมาจากความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นว่า สิ่งนั้นถูก สิ่งนี้ผิด ถูกผิดตามความคิดของตัวเอง สิ่งที่มากระทบจึงมีทั้งดีและเสีย ตามความคิดแต่ไม่ใช่ตามความเป็นจริง เหตุของการเกิดอยู่ที่ตรงนี้นี่เอง
ได้แก่ การกระทำ ที่ทำตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น ขณะผัสสะมากระทบ หรือขณะที่สิ่งต่างๆกำลังเกิดขึ้น ขณะนั้นๆ ต้นเหตุของการทำให้เกิดการกระทำ คือ กิเลสที่เกิดขึ้นในใจ เป็นตัวผลักดันให้เกิดการะทำออกไป เหตุเพราะความไม่รู้
หลุมพรางบัญญัติ
บัญญัติต่างๆล้วนพาให้งงงวยและเป็นเหตุให้เข้าใจสภาวะแบบผิด ๆ ต้องรู้แจ้งชัดในสภาวะนั้นจริงๆ จึงจะรู้ชัดว่าสภาวะนั้นๆมีลักษณะอาการเกิดขึ้นอย่างไร เช่น เรื่อง วิโมกข์ ที่เคยเขียนบันทึกไว้ตามคำอธิบายของอรรถกถาจารย์
เราไม่ได้คิดกล่าวเพ่งโทษท่านทั้งหลายเหล่านั้น เพราะถ้าไม่มีบัญญัติที่แบมากับบาลี ให้เราแปลบาลีเองก็คงแปลไม่ออก อีกอย่าง เมื่อถึงเวลาจะรู้ ตัวปัญญาจะเกิดขึ้นเองตามสภาวะ ทุกๆสิ่งที่เขียนลงไป ใช่ว่าจะเชื่อทั้งหมด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เชื่อ
คือ รับฟัง ตั้งใจทำต่อเนื่อง รู้แล้วว่าเส้นทางนี้มีจุดจบที่ตรงไหน จึงไม่มีความลังเลหลงเหลืออยู่ เพียงแต่สภาวะละเอียดยิ่งนัก กว่าจะรู้ชัดในสภาวะของตัวบัญญัติที่ซ่อนเอาไว้ ต้องหมั่นสังเกตุ หมั่นพิจรณาสภาวะ เพราะสภาวะจะละเอียดมากขึ้น
เมื่อรู้บัญญัติโดยสภาวะแล้ว จากเนื้อความในความหมายของบัญญัติต่างๆที่เขียนไว้วก้างขวางมากมาย เนื้อความบัญญัติต่างๆที่รู้โดยสภาวะจะมีข้อความที่กระชับสั้นลง จดจำได้ง่าย อธิบายให้เป็นรูปธรรมได้ง่ายมากขึ้น
วันนี้ได้แจ้งชัดในสภาวะของวิโมกข์ต่างๆ ว่าวิโมกข์ที่มีความหมายว่า ความหลุดพ้นนั้น แท้จริงแล้วหลุดพ้นจากอะไร ใช่หมายถึงสภาวะนิพพานหรือไม่ ละเอียดจริงๆกว่าจะรู้ได้ ทำเดิมๆซ้ำๆนี่แหละ ตัวปัญญาที่เกิดแต่ละครั้ง ละเอียดกระชับมากขึ้น
วิโมกข์
ต้องไล่มาตั้งแต่สภาวะ อารัมณูปนิชฌาน คือ เพ่งบัญญัติเป็นอารมณ์ ได้แก่การทำสมถะ อารัมมณูปนิชฌาน คือ การยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนา ได้แก่การปรับอินทรีย์ ให้สติกับสมาธิเกิดความสมดุลย์
เป็นเหตุให้จิตรู้ชัดในรูปนาม, พระไตรลักษณ์ ตามความเป็นจริงของตัวสภาวะ ไม่ใช่เกิดจากความคิดของตัวเองที่มีอยู่เข้าไปตัดสินว่านั่นคือรูป นี่คือ นาม นั่นคือไตรลักษณ์ แต่จะรู้ชัดอยู่ในสภาวะรูปนาม,พระไตรลักษณ์ตามความเป็นจริง
เหตุของการรู้ชัดอยู่ในรูปนามตามความเป็นจริง คือ รูปนามที่เป็นสภาวะปรมัตถ์ เป็นเหตุให้วิปัสสนาญาณดำเนินตามเหตุปัจจัยของตัวสภาวะเอง ไม่ใช่เกิดจากกำหนดโดยตัวบัญญัติแต่อย่างใด เมื่อรู้ชัดเช่นนี้ได้ ไตรลักษณ์ย่อมเกิด
เมื่อไตรลักษณ์เกิด จิตย่อมปล่อยวางไปโดยตัวของจิตเอง ไม่ใช่เกิดจากการพยายามคิดพิจรณาเพื่อให้เกิดการปล่อยวางแต่อย่างใด เมื่อจิตปล่อยวางลงไปเอง ซึ่งเกิดจากการเห็นทางไตรลักษณ์ ได้แก่
เห็นทางอนิจจัง ความไม่เที่ยง ทุกขัง ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น อนัตตา การบังคับบัญชาใดๆไม่ได้ ทางใดทางหนึ่งซึ่งเกิดทั้ง ๓ ทาง เพียงแต่ทางสภาวะไหนชัดที่สุด ซึ่งมีบัญญัตินำมาเรียกว่า อนิมิตวิโมกข์ อัปปนณิหิตวิโมกข์ สุญญตาวิโมกข์
เมื่อจิตปล่อยวางลงไปได้ สภาวะสังขารุเปกขาญาณจะเกิดขึ้นเอง ตามเหตุปัจจัยของสภาวะ สภาวะจะทบทวนเดิมๆซ้ำๆอยู่แบบนั้น จนกว่าจิตปล่อยวางไปในที่สุด
การรู้แจ้งในสภาวะต่างๆที่เหลือ เมื่อสภาวะพร้อม สภาวะที่เหลือจะเกิดขึ้นเอง เป็นสภาวะสมุจเฉทประหาน สภาวะนี้ยากที่จะอธิบายได้ เพราะเป็นเรื่องของสมาธิที่มีกำลังมากๆควบคู่กับกำลังของสติที่มีกำลังมากๆ จะเกิด เกิดเองเมื่อเหตุปัจจัยพร้อม
นี่แหละ เหตุที่มาของคำว่า อกาลิโก ไม่จำกัดกาล อยู่เหนือสรรพสิ่ง ไม่พึงรู้ด้วยตาเนื้อที่มองเห็น ไม่พึงไปถึงด้วยเท้าหรือการโดยสารทางใด แต่รู้ได้ด้วยจิต เดินทางด้วยจิตที่มีกำลังของสมาธิเป็นพลังในการเดินทาง ช่วงเสี้ยวเวลาที่กะไม่ได้
สรุปสภาวะวิโมกข์
คำว่า ความหลุดพ้นในสภาวะของวิโมกข์ แท้จริงคือ การเห็นไตรลักษณ์โดยสภาวะ แล้วจิตเกิดการปล่อยวางโดยตัวของจิตเอง ปราศจากความรู้สึกนึกคิดของตัวเองที่มีอยู่เข้าไปเกี่ยวข้องกับสภาวะที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด
เมื่อจิตปล่อยวางลง สภาวะสังขารุเปกขาญาณจึงเกิดขึ้น ส่วนจะเห็นแจ้งในสภาวะที่เหลือได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่ทำไว้และที่กำลังสร้างขึ้นมาใหม่ หากสภาวะยังไม่พร้อม สภาวะจะย้อนกลับไปที่สภาวะอุทยัพพยญาณ คือรู้ชัดอยู่ในรูปนาม
แต่ไม่มีตกต่ำลงไปกว่านี้ เพราะเป็นสภาวะปรมัตถ์ ย่อมไม่ตกต่ำไปหาบัญญัติ ได้แก่ นามรูปปริจเฉทญาณ ปริคคหญาณ สัมมาสนญาณ ล้วนมีบัญญัติเป็นอารมณ์ หรือต้องไปเริ่มต้นใหม่แต่อย่างใด
รอบ ๒ เดิน ๑ ๑/๒ ชม. นั่ง ๓๐ นาที
ทุกอย่างล้วนมีเหตุ
การรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าดีหรือไม่ รู้แล้วบอกต่อ เป็นการเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งล้วนมีเหตุ เชื่อก็เพราะเหตุ ไม่เชื่อก็เพราะเหตุ ทั้งทางโลกและทางธรรมไม่แตกต่าง ใครจะบังคับให้เชื่อหรือไม่เชื่อนั้นไม่ได้ เมื่อถึงเวลาผลของเหตุที่ได้รับ ต้องได้รับผล
แต่ผลที่ได้รับในเหตุของอดีต ย่อมเปลี่ยนแปลงตามเหตุปัจจัยที่สร้างขึ้นมาใหม่ได้ เช่นเณรชะตาขาด ที่ถูกส่งกลับบ้าน ระหว่างทาง ได้ช่วยชีวิตสัตว์ให้รอดตาย แทนที่เณรจะต้องตาย กลับไม่ตาย มีอายุ มีชีวิตต่อไปเพราะช่วยชีวิตสัตว์
เรื่องลี้ลับทางจิตวิญญาณ ยากที่จะคาดเดาได้ เหตุที่ทำ ใช่ว่าจะต้องรับผลตามนั้นเสมอไป ขึ้นอยู่กับเจตนาที่ทำไว้ กับสิ่งที่กำลังทำให้เกิดขึ้นมาใหม่ในปัจจุบัน ล้วนมีเหตุปัจจัยร่วมกันทั้งสิ้น มันแปลกดีนะ
พระอรหันต์
เราเชื่อว่าพระอรหันต์นั้นมีจริง ตำราสอบอารมณ์ วิปัสสนาทีปนีฎีกาที่ได้มา ไม่แตกต่างกับพระไตรปิฎก ที่ถูกถ่ายทอดเรื่องราวของสภาวะไว้ในรูปแบบของบัญญัติ เพราะสภาวะแต่ละสภาวะจะรู้ชัดได้ ต้องรู้ด้วยตัวเอง จากรู้หยาบๆ รู้แบบกระจาย
จะรู้แบบละเอียด แต่กระชับมากขึ้น ตัวหนังสือที่ถูกถ่ายทอดออกมาแต่ละยุค แต่ละสมัย ต้นฉบับถูกขายาใจความออกไปตามรู้ของสภาวะผู้ที่บันทึกทิ้งไว้ มิใช่ตัวต้นฉบับที่แท้จริง เหตุมี ผลย่อมมี ล้วนเกิดจากเหตุของแต่ละคนสร้างขึ้น
ตราบใดที่ยังมีความไม่รู้อยู่ ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม ตราบใดที่ยังมีการสร้างเหตุของการเกิด ตราบนั้น ภพชาติย่อมไม่จบไม่สิ้น คำถ่ายทอดจากพระโอษฐ์โดยตรง ที่เป็นต้นฉบับ จึงเลือนหายไป ไม่ครบถ้วนตามสภาวะเพราะเหตุนี้
เมื่อก่อนเคยมีปรามาสทั้งในพระพุทธเจ้า ตลอดจนอรรถกถาจารย์ที่เขียนบันทึกถ่ายทอดทิ้งไว้ นั่นเพราะยังไม่รู้ชัดในรายละเอียดที่มีอยู่ตามสภาวะตามความเป็นจริง ซึ่งงไม่ได้ไปทุกข์กับการปรามาสที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด
เป็นเรื่องปกติของความไม่รู้ชัดที่ยังมีและกิเลสยังมีอยู่ เพียงยอมรับตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นภายใน ส่วนภายนอกไม่ได้ไปสร้างเหตุโดยตรงกับผู้ใด เหตุนี้ ปัญญาจึงเกิดขึ้นเนืองๆ เพราะการยอมรับตามความเป็นจริง รู้ แต่ไม่ได้ยึดในสิ่งที่รู้
ไม่ได้เชื่อในสิ่งที่รู้ รู้ต่างๆจึงละเอียดและกระชับมากขึ้นเรื่อยๆ เขียนตามความเป็นจริง ย่อมเห็นผัสสะที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน ไม่ใช่ปล่อยให้เพ่นพ่านไปสร้างเหตุนอกตัว ใครจะเป็นอะไรอย่างไร ล้วนเกิดจากเหตุที่ทำมาทั้งสิ้น ผลจึงเป็นเช่นนั้น
๒๖ ตค.
หลงสภาวะเพราะบัญญัติ หลงบัญญัติเพราะมีเหตุ
คำสอน ตลอดจนหนังสือสอบอารมณ์ต่างๆ แม้กระทั่งสภาวะที่ได้พบเจอแล้วนำไปเทียบเคียง การเทียบเคียงล้วนไม่มีผลต่อสภาวะ แต่เทียบเคียงแล้วยึดในบัญญัตินั้นๆ แล้วนำไปสร้างเหตุใหม่ของความไม่รู้ที่มีอยู่ ผลย่อมมีเกิดขึ้นต่อไป
เหตุมี ผลย่อมมี ในดีมีเสีย ในเสียมีดี ๒ สิ่งนี้เกิดขึ้นคู่กันตลอดไป จนกว่าจะหมดกิเลสโดยสิ้นเชิง จึงจะไม่มีทั้งดีและเสีย เพราะไม่มีคำว่าถูกหรือผิดตามความรู้สึกนึกคิดที่เข้าไปเกี่ยวข้องในสิ่งที่เกิดขึ้น จะมีเรื่องของเหตุที่ทำและผลที่ได้รับ
ตำรา
ตำราแนวทางการปฏิบัติ มีเกิดขึ้นมากมายตามความรู้ที่ได้ศึกษามาและจากประสบการณ์ของผู้เขียนที่ได้พบประสบเจอมา กิเลสของแต่ละคนแตกต่างกันไป ตำราเกิดขึ้นมากมายเพราะเหตุนี้ สุดท้ายของงานเขียน จบลงที่นิพพานที่เป็นบัญญัติ
แต่ไม่สามารถอธิบายชี้ชัดลงไปได้ว่า แท้จริงแล้วสภาวะ ตลอดจนลักษณะอาการเกิดที่แท้จริงของนิพพานนั้นมีลักษณะตลอดจนอาการเป็นอย่างไร ที่สำคัญคือ ทำอย่างไรจึงจะถึงนิพพาน ดูจากตรงไหนจึงรู้ว่าใช่แล้ว เห็นมีแต่บัญญัติ
ตราบใดที่ยังไม่รู้ชัดในสภาวะของนิพพาน นั่นคือวิจิกิจฉาที่มีอยู่ ถึงจะไม่สงสัยในคุณของพระรัตนตรัยว่ามีจริงไหม เพราะเกิดความเชื่อมั่น ทำให้บิดเบือนข้อสงสัยในตัวสภาวะนี้ลงไปได้ ตราบใดอธิบายนิพพานเป็นรูปธรรมไม่ได้
นั่นคือ กิเลสวิจิกิจฉายังมีอยู่ เพียงแต่จะยอมรับตามความเป็นจริงตรงนี้หรือไม่เท่านั้นเอง ถ้ายังไม่ยอมรับ ย่อมยึดติดในสิ่งที่รู้ มีแต่กิเลสของการสร้างเหตุของการเกิด ไม่ใช่สร้างเหตุของการดับที่ต้นเหตุของการเกิดแต่อย่างใด
วิธีการที่พระพุทธเจ้าทรงทิ้งแนวทางไว้ให้ คือสมถะและวิปัสสนา เป็นทางที่ตรงและสั้นที่สุดที่จะตอบไขข้อข้องใจในทุกเรื่องราวได้ เกิดก็เพราะเหตุ ดับก็เพราะเหตุ เหตุนี้วิปัสสนารูปแบบใหม่จึงมีเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยที่ทำมาของแต่ละคน
คำสอนของพระองค์ทอนสั้นลงไปเรื่อยๆ เหมือนเขียนตัวหนังสือบนศิลา ที่ค่อยๆจางหายไปเรื่อยๆ ไม่เกิดจากน้ำมือคน(ตามสภาวะของคนเขียนรุ่นหลัง) ก็เกิดจากน้ำมือของธรรมชาติ ทุกสิ่งล้วนมีเหตุ การปฏิบัติจึงดูยุ่งยากมากขึ้นเรื่อยๆ
เหตุเพราะนับวันบัญญัติหลากหลายมีมากขึ้นเรื่อยๆ มากกว่าตัวสภาวะที่แท้จริงของสภาวะต่างๆที่พระองค์ทรงถ่ายทอดทิ้งไว้ ทุกอย่างล้วนมีเหตุทั้งสิ้น เมื่อถึงเวลา ย่อมมีผู้รู้ชัดในสภาวะ นำสิ่งที่รู้เหมือนกับพระองค์มาเริ่มต้นถ่ายทอดกันใหม่
รอบแรกเดิน ๑/๒ ชม. นั่ง ๒ ชม.
หากไม่ได้อยู่ในหมู่ของผู้คน ยากยิ่งนักที่จะเห็นกิเลสที่เกิดขึ้นในใจได้อย่างชัดเจน เมื่อก่อนที่เราหลงภสาวะก็เพราะเหตุนี้ เพราะมีผัสสะเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันน้อยมากๆ โดยเฉพาะเวลาที่อยู่บ้านคนเดียว ซึ่งผิดจากการมีครอบครัว
วันนี้เห็นตัวอุปทานที่มีอยู่ชัดมากๆ เดี๋ยวนี้กระทบปั๊บ รู้ทันที เรียกว่ารู้ทันและเห็นกิเลสที่เกิดขึ้นได้ชัดกว่าเมื่อก่อน ขอบคุณทุกๆผัสสะที่เกิดขึ้น หากไม่มีผัสสะที่เป็นตัวเป็นตนให้เห็น ยากนะที่จะรู้ได้ทัน เพราะจิตติดในความสงบมากขึ้น
สมถะเป็นสิ่งที่ดี ที่ไม่ดีคือหากกำลังสติไม่มากพอ ไม่พอดีกับสมาธิที่มีอยู่ ยากที่รู้ทันต่อกิเลสที่เกิดขึ้น ซึ่งถูกสมาธิกดข่มเอาไว้ส่วนหนึ่ง สติเป็นตัวช่วยระงับอีกส่วน ตัวสัมปชัญญะ(ความรู้สึกตัว)เกิดไม่ทัน หากสติกับสมาธิไม่สมดุลย์
มีการแบ่งแยก
เวลาที่Darlingหรือแม้กระทั่งคนอื่นๆ โทรฯมาหา ถึงแม้จะนั่งสมาธิอยู่ จะพูดคุยด้วยถึงแม้จะสั้นๆหรือคุยกันยาวก็ตาม คุยเสร็จ กลับไปนั่งสมาธิต่อได้ ไม่มีอาการจุกจิกเกิดขึ้นในใจแต่อย่างใด
แต่เมื่อเป็นคนอื่นในที่ทำงาน ซึ่งเป็นช่วงเวลาพักเที่ยง เดี๋ยวนี้เจอบททดสอบประจำ เจอมาหลายวันแล้ว เมื่อก่อนดูสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตไม่ทัน คือเห็นแค่ตอนเกิดเหมือนลมพัดผ่านไป แต่วันนี้ไม่ใช่แบบนั้น จับรายละเอียดได้หมด
เห็นอารมณ์หรือกิเลสที่กำลังเริ่มจะเกิดขึ้น ตั้งแต่กำลังเกิด ขณะที่เกิด จนกระทั่งหายไป เป็นเหตุให้แยกแยะสภาวะออกมาได้อีก เหตุมี ผลย่อมมี ทั้งๆที่เป็นช่วงเวลาพักเที่ยงของเราเองแท้ๆ นี่แหละกิเลส ยอมรับว่ายังยึดติด เป็นเหตุให้หงุดหงิด
เพราะไม่ใช่แค่ครั้งเดียว เจอมาหลายครั้งแล้ว ส่วนมากคนที่รู้จักกับคนที่สนิทกับเรานี่แหละเป็นเหตุ น้องคนที่สนิทกัน มักจะทิ้งข้าวมื้อเที่ยงของเขาไว้ในห้องทำงานของเรา ถ้าเขามาเอาเองไม่เท่าไหร่ เขาจะไม่กวนเราเพราะรู้ว่านั่งสมาธิอยู่
แต่เมื่อเป็นคนอื่นๆที่เขาวานให้เข้ามาเอา เราจะรู้สึกจุกจิกและไม่พอใจทุกครั้ง เพราะชอบมาถามว่าของอยู่ตรงไหน เวลาที่หาไม่เจอ เราน่ะอยากจะล็อกประตูห้อง แต่กลัวมีฉุกเฉิน เป็นเหตุให้ล็อกไม่ได้ แต่คนที่ไม่รู้กาละเทศะก็มีเยอะ
ชอบมาติดต่อเรื่องงานกับเราเวลาพักเที่ยง ไม่ก็เข้ามาจุกจิกแบบนี้ เขียนลงปุ๊บ เจอปั๊บอีกหนึ่งดอกทันที เจอคนเข้ามาขอยา เหตุเพราะเขาแวะมาเข้าห้องน้ำ และเห็นว่ายังไม่บ่าย เขาเลยยังไม่ไปห้องทำงาน เพราะจะต้องทำงานก่อนเวลา
นี่เห็นไหม คน เขาเรียกว่าคนเพราะเหตุนี้แหละ มีแต่วนๆสร้างเหตุด้วยความไม่รู้ เบียดเบียนผู้อื่นด้วยความไม่รู้ เหตุมี ผลย่อมมี ตราบใดที่ยังมีผลกระทบ นั่นคือเหตุที่ยังมีอยู่ กิเลสพรึ่บพรั่บเลยเรา แต่ไม่ได้สร้างเหตุออกไป ไม่มีต่อว่าใคร
ปัญญาเกิด
ทั้งหมด ผิดที่ตัวเราเอง ต้องแก้ที่ตัวเอง ไปแก้ที่ภายนอกไม่ได้ ภายนอกล้วนเป็นผลของเหตุที่เคยทำไว้ ซึ่งไประลึกไม่ได้ ซึ่งผลของเหตุที่ทำไว้นั้น มาส่งผลให้ได้รับในรูปของผัสสะหรือเหตุที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
สิ่งที่คิดไว้ว่าจะทำคือ
ก่อนจะพัก จะนำข้าวที่น้องชอบนำมาทิ้งไว้ในห้อง นำไปแขวนไว้หน้าห้อง เพราะถ้าพูดกับเขาตรงๆว่า ทำไมเขาไม่นำไปไว้ที่ห้องเขา ตู้เย็นที่ห้องครัวก็มี แต่รู้ดีกว่า เหตุมี ผลย่อมมี พูดไปถูกใจเรา แต่ไม่ถูกใจเขา มันจะมีแต่เหตุไม่รู้จบ
จึงคิดไว้ว่า ก่อนพัก จะนำข้าวของเขาไปแขวนไว้ที่ประตูหน้าห้อง แล้วล็อคห้อง ปิดไฟทั้งหมด บ่ายโมงค่อยเปิดทำการ คนอื่นๆเขาก็ทำแบบนี้เหมือนกันหมด ไม่ใช่เวลางาน ใครไม่ต้องไปติดต่ออะไรเลย ไม่ทำให้ ติดต่อไม่ได้ แม้กระทั่งโทรฯ
สถานการณ์น้ำท่วมในตอนนี้ก็มีเหตุ จึงส่งผลให้เป็นไปเช่นนี้ การมีส่วนร่วมอยู่บนความทุกข์ของชีวิตผู้อื่น เมื่อถึงเวลาผลของเหตุให้ได้รับ จึงได้รับพร้อมๆกันไปถ้วนหน้า หากผู้ใดไม่ได้มีความรู้สึกยินดีอยู่บนกองทุกข์ของผู้อื่น
ผู้นั้นย่อมได้รับผลกระทบจากเหตุนี้น้อยที่สุด แม้กระทั่งไม่ได้รับผลเลยก็มี เราทำให้ผู้อื่นแบกทุกข์ในเหตุของน้ำท่วมไว้แทนมานานเท่าไหร่แล้ว โดยเฉพาะเจตนาที่จะทำลงไปเพื่อปกป้องของตัวเอง แต่เบียดเบียนผู้อื่น นี่แหละเหตุของความไม่รู้
ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนมีความเสื่อสลาย สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมดับลงไปเป็นธรรมดา เมื่ออุปทานยังมี ย่อมยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่คิดว่าเป็นของๆตนที่ควรดูแลรักษาเอาไว้ แต่ลืมไปว่า วันนี้ไม่พัง วันหน้าก็ต้องพัง ด้วยน้ำมือคนหรือธรรมชาติ
ชีวิตที่เกิดขึ้น มีแต่เหตุที่เกิดขึ้นจากความไม่รู้ที่มีอยู่ เมื่อมีเหตุ ย่อมมีผล ตราบใดที่ยังมีเหตุปัจจัย ผลย่อมเกิดขึ้นให้ได้รับ มันเป็นเช่นนี้เองในชีวิตของเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป การเกิดเป็นทุกข์เพราะเหตุนี้
๒๗ ตค.
ปัญหาทำให้เกิดปัญญา
อะไรๆที่เคยให้ค่าว่าเป็นปัญหา ล้วนเป็นตัวให้เกิดปัญญา เป็นเหตุให้สามารถครอบคลุมระบบภายในของตัวเองได้มากขึ้น ไม่ไปสร้างเหตุภายนอกกับผู้อื่น เพียงแต่ภายในห้ามความคิดไม่ให้เกิดไม่ได้ ยังดีที่ห้ามการกระทำได้ เหตุภายนอกน้อยลง
คำพูด
การพูด สิ่งใดที่คิดว่าถูก นั่นคือ ถูกใจเรา แต่อาจะไม่ถูกใจเขา เก็บเอาไว้ในใจ แล้วกลับมาแก้ไขที่ตัวเราเอง มองหาข้อบกพร่องของตัวเองที่มีอยู่ กลับมาบริหารจัดการกับตัวเอง แก้ที่ตัวเอง คนอื่นเป็นเพียงปลายเหตุ
ต้นเหตุคือกิเลสที่เกิดขึ้นในจิต ยังมีการให้ค่า คาดเดาต่อสิ่งที่เกิดขึ้น(ผัสสะต่างๆ) เมื่อยังมีเหตุ ผลย่อมมีให้ได้รับ ฉะนั้น ไม่ควรไปแก้ไขอะไร ยอมรับไป รู้สึกยังไงยอมรับ เขียนระบายออกมา ดีกว่านำความรู้สึกไปสร้างเหตุกับคนอื่นๆ
ตราบใดที่ยังมีการสร้างเหตุออกไป นั่นคือต้นเหตุของการเกิด เมื่อไม่อยากเกิด จงอย่าสร้างต้นเหตุของการเกิดออกไป มันมีแค่นี้เอง แค่ยอมรับตามความเป็นจริง ใจจะโล่งเบาสบาย ไม่แบกไม่หาม ไม่มาทำให้ทุกข์
เมื่อยังมีกิเลส ย่อมมีชอบบ้าง ชังบ้าง ตามเหตุปัจจัยที่มีอยู่ คือ กิเลสนี่แหละ ไม่ใช่จากใครหรืออะไรที่ไหนมาทำให้เกิดขึ้นหรือทำให้เป็นไปต่างๆนาๆ พึ่งพาตัวเองได้ ย่อมกล่าวโทษนอกตัวน้อยลง มีแต่เพ่งโทษในความโง่ของตัวเองที่มีอยู่
ปัญหาที่ทำงาน
เช้าวันนี้ ระหว่างที่ล้างชามกับน้องที่ฝากข้าวไว้ที่ห้อง เราบอกกับน้องเขาว่า ต่อไปจะล็อคห้องตอนพัก ปิดไฟให้หมด เพื่อคนที่มาหาจะได้คิดว่าไปกินข้าว ตัดปัญหาการพูดจาที่อาจจะมีเหตุต่อกัน ส่วนข้าวของเขา จะแขวนไว้ที่ประตู
เขาบอกว่าดีแล้ว บางทีเขาไม่ว่าง แล้วจะให้เด็กมาหยิบไปเอง คือเราเล่าเรื่องคนที่ชอบมาหาตอนพัก เพราะเห็นว่าเราอยู่ในห้อง เจอบ่อยมากๆ บางคนมานั่งโทรฯ พูดคุยเรื่อยเปื่อยรอเวลาทำงาน ไม่มีความเกรงใจ
คือ เรามองว่า เวลาพัก ไม่ว่าเราจะทำหรือไม่ทำอะไร มันเป็นสิทธิ์ของเรา ซึ่งไม่แตกต่างกับคนเหล่านั้น หากยังไม่ถึงเวลาทำงาน อย่าหวังว่าใครจะติดต่อกับเขาได้ เขาจะปล่อยให้นั่งรอจนกว่าถึงเวลาทำการ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติ
นับว่าจบลงไปด้วยดีสำหรับตัวเราเอง โดยใช้คำพูดแบบไม่ใช่ถูกใจเราทั้งหมด แต่พูดเป็นกลางๆ ไม่เบียดเบียนทั้งตัวเราและตัวเขา ยอมรับว่าระวังในเรื่องการสร้างเหตุมากกว่าเมื่อก่อน จะมีการคิดพิจรณามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
รอบแรก เดิน ๑ ชม. นั่ง ๑ ชม. ๕๐ นาที
รอบ ๒ เดิน ๑ ชม. นั่ง ๑/๒ ชม.
กิญฺจาปิ โส กมฺมํ กโรติ ปาปกํฯลฯ อภพฺพตา ทิฏฺฐปทสฺส วุตฺตา.
ท่านผู้บรรลุทัสสนะนั้น แม้ท่านยังทำความชั่วด้วยกาย หรือด้วยวาจา หรือด้วยใจ อยู่บ้าง ท่านก็ไม่อาจปิดบังความชั่วของท่านที่ทำไว้นั้น การที่บุคคลผู้เห็นพระนิพพานแล้ว จะปิดบังความชั่วของตนไว้นั้น ตถาคตกล่าวว่า ไม่อาจปิดบังได้
รอบ ๓ เดิน ๑๓.๐๐
หลายๆครั้งที่เจอสภาวะเบื่อ หรือแม้กระทั่งไม่เบื่อก็ตาม สิ่งที่เป็นตัวกระตุ้น ทำให้เกิดความรู้สึกดีๆ เป็นพลังให้ไปข้างหน้าต่อไป หนังหรือภาพยนต์ บางคนอาจจะมองว่าเป็นกิเลส กิเลสใช่ว่าจะมีแต่ส่วนเสีย ส่วนดีก็มีถ้ารู้จักนำมาใช้ให้ถูกทาง
สำหรับตัวเองไม่ได้มีความต้องการสิ่งใดๆอีกแล้ว อยู่เพราะยังมีเหตุเท่านั้นเอง