ผัสสะ เวทนา ตัณหา
การสดับธรรมจากพระอริยะ สัตบุรุษ สัปบุรุษและปฏิบัติตาม
ผลของการปฏิบัติตาม คือ สีลปาริสุทธิ มีเกิดขึ้นตามจริง
ทำให้รู้ทันโลกธรรม ๘ ที่มีเกิดขึ้น
และไม่หลงกับโลกธรรม ๘ ที่ปรากฏตามจริง
การเดินจงกรม ไม่ใช่ประโยชน์มีแค่นี้
พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้คร่าวๆ
มากกว่านี้ต้องปฏิบัติด้วยตนจึงจะสามารถเข้าใจได้
๙. จังกมสูตร
[๒๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ในการจงกรม ๕ ประการนี้
๕ ประการเป็นไฉน
คือ ภิกษุผู้เดินจงกรมย่อมเป็นผู้อดทนต่อการเดินทางไกล ๑
ย่อมเป็นผู้อดทนต่อการบำเพ็ญเพียร ๑
ย่อมเป็นผู้มีอาพาธน้อย ๑
อาหารที่กิน ดื่ม เคี้ยว ลิ้มแล้วย่อมย่อยไปโดยดี ๑
สมาธิที่ได้เพราะการเดินจงกรมย่อมตั้งอยู่ได้นาน ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ในการเดินจงกรม ๕ ประการนี้แล ฯ
การเดินจงกรมซึ่งมีทั้งหมด ๖ ระยะ
เมื่อเดินครบเวลาที่ตั้งไว้
กำหนดยืนหนอ ๕ ครั้ง แล้วนั่ง
ทำให้จิตที่เป็นสมาธิจากมิจฉาสมาธิมาเป็นสัมมาสมาธิได้
อันนี้ต้องฝึก ไม่ใช่สักแต่ว่าเดิน เดินไปคุยไป
ตั้งสติที่เท้า ไม่ใช่ปาก(บริกรรม) เพียงอย่างเดียว
เมื่อจำคำบริกรรม วิธีกำหนดระยะที่ ๑ จนถึงระยะที่ ๖ จำได้ไม่ลืม
ต่อจากนั้นทิ้งคำบริกรรม ใช้ใจ ใช้สติ กำหนดตามจริง
ขณะเคลื่อนไหวของเท้าในแต่ละขณะๆๆ ไม่เผลอ
ถ้ากลัวเผลอ ให้ฝึกตั้งแต่เดินจงกรมระยะที่ ๑ ใช้คำบริกรรม
ทำต่อเนื่อง จนจำคำบริกรรมหรือการกำหนดได้ ไม่ลืม ไม่เผลอ
ให้ฝึกขั้นตอนต่อไป ไม่ใช้คำบริกรรม
กำหนดการเคลื่อนไหวของเท้าในแต่ละขณะๆ
เรียกว่าใช้ใจ ทำให้สติมีเกิดขึ้นตามจริง
เมื่อสติมีเกิดขึ้นตามจริง สัมปชัญญะจะมีเกิดขึ้นตาม
หากสติยังมีกำลังอ่อน สัมปชัญญะจะมีเกิดขึ้นย่อมน้อย
ซึ่งขึ้นอยู่กับการกำหนด ให้พยามกำหนดช้าๆ ไม่ต้องรีบ ให้ตั้งใจกำหนด
บางคนติดใจสมาธิ จะกำหนดยืนหนอ ยืนจนหมดเวลา สติไม่มี
ให้กำหนด ๕ ครั้ง แต่ดันกำหนดยืนหนอจนหมดเวลา
เพราะติดใจสมาธิที่มีเกิดขึ้น
ที่จิตเป็นสมาธินั้น เกิดจากคำบริกรรมที่ใช้อยู่
ที่ให้กำหนด ๕ ครั้ง เพื่อให้มีสติมีเกิดขึ้น
ไม่ใช่ไปสนใจเรื่องสมาธิขณะยืน
การทำกรรมฐาน
สติ สัมปชัญญะ สมาธิ
สัมมาสมาธิ
สามารถเปลี่ยนภพชาติของการเกิดได้
21 มค. 2566
การทำกรรมฐาน ขึ้นอยู่กับของเก่าที่มีอยู่
กรรมในอดีตที่กระทำสะสมไว้ ไม่ใช่เรื่องฟลุ๊ก
มาในชาติปัจจุบัน ทำให้เข้าสู่มาเส้นทางของการทำกรรมฐานอีกครั้ง
ส่วนจะปฏิบัติได้แค่ไหน ขึ้นอยู่กับการกระทำของตน
บางคนชอบแสวงหานอกตัว
สำหรับเรานั้นในอดีตชาติ เคยเป็นคนเขียนหนังสือเกี่ยวกับพระสูตร
บ้านเป็นบ้านโบราณ มีบริวาร มีทาส เราเป็นเมียหลวง
เป็นเมียในนาม เมียแต่งตั้ง เราไม่สนใจเรื่องการเสพกามกับสามี
สามีมีเมียน้อยเยอะแยะ เขาอยู่ในฐานะสูง จะมีเมียหลายคนได้
มาในชาติปัจจุบัน เราก็ว่าทำไมเราจึงไม่สนใจเรื่องอ่านพระไตรปิฎก
หรือจะสนใจหนังสือเกี่ยวกับศาสนา คือไม่สนใจ
พอรู้เรื่องการปฏิบัติ เรื่องการทำกรรมฐาน ทำให้เราสนใจมากกว่า
เวลาเราบอกกับหลายๆคนทำนองว่าให้ตั้งใจปฏิบัตินะ
หากปฏิบัติเข้าถึงธรรมตามจริง
ตัวปัญญาที่มีเกิดขึ้นในตนจะทำให้รู้อะไรมากกมายกว่าจากการท่องจำมา
การท่องจำมา คนที่สอน รู้แค่ไหน จะสอนได้แค่นั้น
สอนปริยัติ จะรู้เพียงปริยัติ
ปฏิบัติ สอนแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของผู้สอน รู้แค่ไหน สอนได้แค่นั้น
นี่แหละกรรมและผลของกรรมที่มีเกิดขึ้นในแต่ละคน
ด้วยเหตุนี้ ใครจะมาใครจะไป
เรามักจะบอกเหมือนๆเดิมว่า ตามสบายนะ คือเราชินกับสิ่งเหล่านี้
ใครจะปฏิบัติแบบไหน ชอบแบบไหน ชอบอ่าน ชอบเรียน ก็ตามสบาย
เรามองว่ากรรมที่เคยกระทำร่วมกันไว้มีวาสนาต่อกันมีแค่นี้
จากที่เคยถาม เคยพูด จะเลิกถามอีก
เพราะเส้นทางไปคนละเส้นทางกัน
เพราะศรัทธายังไม่มั่นคง จึงแสวงหาทางอื่น
อันนี้เจอกับตน ก็เหมือนบางคนปฏิบัติกับอีกคน แล้วมาปฏิบัติกับเรา
พอถึงจะถามอะไร เขามักนำสภาวะที่มีเกิดขึ้นในตน
ทีนี้สมัยนั้นเราจึงไม่ละเอียดในเรื่องการรู้จิตของคนอื่น
ทำให้เข้าใจผิดว่าเขาปฏิบัติกับเราคนเดียว
ทีนี้เราจะดูสภาวะที่มีเกิดขึ้นของผู้ปฏิบัติเป็นหลัก มากกว่าเรื่องรูปแบบ
พอเขามาเล่าเรื่องสภาวะให้ฟัง เราจึงบอกว่าต้องปรับอินทรีย์ใหม่
ให้เพิ่มเวลาการเดินจงกรม
ไปๆมาๆเขาเล่าว่าอจ.ที่สอนเขาให้เขานั่งอย่างเดียว ๒ ชม.
เราก็ว่าสภาวะของเขาแปลกๆ
เอ้า!!!! ก็เมื่อเขาเชื่ออจ.ของเขา เราไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก
ทางไปคนละทางกัน
การที่เราจะปรับอินทรีย์ให้กับใครก็ตาม
นั้นหมายถึงเราเห็นว่าสภาวะที่มีเกิดขึ้นของคนนั้นที่เขานำมาเล่า
ต้องปรับอินทรีย์ใหม่ เพื่อให้อินทรีย์สมดุลย์กัน ไม่มากหรือน้อยกว่ากัน
จนกว่าสภาวะสัมมาสมาธิมีเกิดขึ้น เราไม่จำเป็นต้องปรับอินทรีย์อีก
เหมือนเดินจงกรม มีตั้งแต่ระยะที่ ๑ จนถึงระยะที่ ๖
จะมีเรื่องเรื่องอินทรีย์ ๕ มาเกี่ยวข้อง
เวลาเราจะหยิบยกสภาวะของใครมาเป็นตัวอย่าง
นั่นหมายถึง ทุกคนที่ปฏิบัติสม่ำเสมอ ทำตามที่เราบอก
คนนั้นๆจะมีสภาวะนั้นๆมีเกิดขึ้นเหมือนๆกัน เป้าหมายถึงสัมมาสมาธิ
การเห็นความเกิด ขณะเกิด และดับในรูปฌาน อรูปฌาน นิโรธ ตามจริง
ความรู้เห็นตรงนี้ จะทำให้รู้ว่าสภาวะของตนนั้นอยู่ตรงไหน
จะได้มีความพยายามมากขึ้น เช่นเคยนั่ง ๑ ชม. เพิ่มเป็น ๑ ชม.ครึ่ง
เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งทุกครั้งที่นั่งจะรู้กายที่นั่งอยู่ก่อน
ต่อมามีแสงสว่างเจิดจ้ากับใจที่รู้อยู่ กายไม่ปรากฏ ลมหายใจไม่ปรากฏ
แต่สภาวะจมแช่ไม่ไปไหน ก็ต้องปรับอินทรีย์อีก
การปฏิบัติละเอียดนะ ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ
หรือไปหาอ่านตามหนังสือ ไม่มีหรอก
เพราะอะไรเหรอ เพราะผู้สอน ทำได้แค่ไหน จะพูดอธิบายได้แค่นั้น
สมัยนั้นเราไม่มีใครมาสอนหรือแนะนำให้
ต้องอาศัยการสังเกตุสภาวะที่มีเกิดขึ้นขณะเดิน นั่ง ขณะปฏิบัติ
แม้กระทั่งนอน กิริยบาทย่อยที่มีเกิดขึ้นขณะดำเดินชีวิต ต้องสังเกตุหมด
ที่เราเป็นคนละเอียดเรื่องการปฏิบัติเกิดจากสิ่งเหล่านี้แหละ
สิ่งที่มีเกิดขึ้นในตนน่ะแหละ
ทำให้เราจึงเขียนรายละเอียดเรื่องการปฏิบัติไว้หลายอย่าง
การปรับอินทรีย์ก้ต้องดูสภาวะที่มีเกิดขึ้นของผู้ปฏิบัติ
ผู้ปฏิบัติต้องเป็นคนพูดเล่าสภาวะที่มีเกิดขึ้นในตนตามจริง
ไม่งั้นจะปรับอินทรีย์ให้ได้อย่างไรล่ะ
ตอนนี่มีน้องขึ้นหนึ่ง ปฏิบัติกับเรามานาจะ ๑๐ กว่าปีแล้ว
ตอนนั้น เรายังไม่มีความรู้อะไรมากกมาย
แต่เข้าถึงธรรม มรรคผลตามจริงแล้ว
เรื่องการปฏิบัติ จะพูดเรื่องกำหนดยืนหนอ ๕ ครั้ง เดิน ๑ ชม. ต่อนั่ง ๑ ชม.
การสอบอารมณ์ เราจะให้ผู้ปฏิบัตินั่งก่อน พอเขาทำเสร็จ
เราจะถามสภาวะที่มีเกิดขึ้นกับเขา
พอเห็นว่าคนนี้รู้รูปนาม แม้จะไม่รู้ปริยัติก็ตาม
การสอบอารมณ์สมัยนั้น ทำง่ายๆแบบนี้แหละ
ยิ่งตอนที่เราป่วย น้องยังคงปฏิบัติอยู่กับเราไม่ไปไหน
อาจเพราะเขาเห็นผลของการปฏิบัติเกิดขึ้นในตัวเขาเอง
ทำให้ความศรัทธามีเกิดขึ้นแล้ว จึงไม่ไปแสวงหาทางอื่น
นี่ก็บอกน้องไปละ
เมื่อน้องเดินจงกรมถึงระยะที่ ๖ ไม่ใช้คำบริกรรม กำหนดตามจริง
เราจะดูสภาวะให้เขาก่อน
เมื่อเห็นตัวสภาวะของการกำหนดค่อนข้างโอเค
ต่อไปให้น้องทำเอง ไม่ต้องส่งสภาวะมาให้เราดูอีก
เพราะเห็นแล้วว่าตอนนี้การปฏิบัติของน้องนั้น เข้าสู่มรรคมีองค์ ๘ ตามจริง
ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมไว้
สภาวะที่สำคัญคือ สติ สัปชัญญะ สมาธิ
ไตรลักษณ์มีเกิดขึ้นตามจริง แม้จะไม่รู้ปริยัติก็ตาม
สติมีกำลังมากขึ้น เกิดจากเขากำหนดตามที่เราบอก
เริ่มจากกำหนดยืนหนอ ๕ ครั้ง
สติมีเกิดขึ้นก่อน
เมื่อสติมีเกิดขึ้น สัมปชัญญะจะมีเกิดขึ้นตาม
สัมปชัญญะมีเกิดขึ้น สมาธิจะมีเกิดขึ้นตาม
สัมมาสมาธิจึงมีเกิดขึ้นตามลำดับ
ส่วนการเข้าถึงธรรม มรรคผลตามจริงนั้น
ขึ้นอยู่กับวิริยะ ความเพียร
ทำน้อยก็ได้แค่นั้น ขยันทำหลายรอบ อินทรีย์ ๕ ย่อมแก่แกล้า
มรรคผลไม่หายไปไหนหรอก ทั้งหมดขึ้นอยู่กับวิริยะ
กำลังสติ ทำให้รู้เห็นความเกิด ขณะเกิด ขณะดับ ขณะจิตเป็นสมาธิ
กับ
สติมีเกิดขึ้น สัมปชัญญะมีเกิดขึ้นตาม ทำให้จิตเป็นสมาธิ
เมื่อฝึกฝนจนชำนาญ จากเพียงจิตเป็นสมาธิจะมาเป็นสัมมาสมาธิ
เมื่อสัมมาสมาธิมีเกิดขึ้น
ยถาภูตญาณทัสสนะจะมีเกิดขึ้นตามจริง
สติปัฏฐานจึงมีเกิดขึ้นโดยตัวของสภาวะ
สภาวะสองตัวนี้
กำลังสติ ทำให้รู้เห็นความเกิด ขณะเกิด ขณะดับ ขณะจิตเป็นสมาธิ
กับ
สติมีเกิดขึ้น สัมปชัญญะมีเกิดขึ้นตาม ทำให้จิตเป็นสมาธิ
เป็นสภาวะที่มีเกิดขึ้นคนละตัวกัน รายละเอียดย่อมแตกต่างกัน
การมีพี่เลี้ยง ทำให้ไม่ออกนอกเส้นทาง
กิเลสมารมีมาหลอกล่อให้สนใจ ออกนอกเส้นทาง
แทนที่จะใช้เวลาทุ่มเทกับการปฏิบัติ ทำเพื่อตัวเองแท้ๆกลับไม่ชอบ
ชอบไปสนใจนอกตัว เหมือนคนที่ชอบเดินชมสวนดอกไม้ ประมาณนี้
ทำให้ห่างจากสมถะและวิปัสสนา คือทำกรรมฐาน
6 มกราคม 2566
จะเล่าเรื่องข้อปฏิบัติหรือการปฏิบัติเพื่อดับภพชาติของการเกิด
กับการปฏิบัติเพื่อให้ได้มรรคผลมีเกิดขึ้นตามจริง
วิธีการปฏิบัติจะมีรายละเอียดแตกต่างกัน
โดยเฉพาะอินทรีย์ ๕
จะค่อยๆอธิบายรายละเอียด
เมื่อได้อ่าน ได้ศึกษาในพระสูตร
ทำให้เข้าใจมากขึ้นว่าความแตกต่างของสภาวะที่มีเกิดขึ้น
จากการปฏิบัติคือการกระทำของตนนั้น
ผลที่ได้รับทำไมจึงแตกต่างกัน
ทำไมทำแล้วจึงมีแต่ทุกข์มากกว่าสุข
ทำไมอุเบกขาจึงมีเกิดขึ้น
สาเกตสูตร
ว่าด้วยอินทรีย์ ๕ พละ ๕
ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ป่าอัญชนมิคทายวัน ใกล้เมืองสาเกต
ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ปริยายที่อินทรีย์ ๕ อาศัยแล้ว ย่อมเป็นพละ ๕ ที่พละ ๕ อาศัยแล้ว ย่อมเป็นอินทรีย์ ๕ มีอยู่หรือหนอ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลาย มีพระผู้มีพระภาคเป็นมูล มีพระผู้มีพระภาคเป็นรากฐาน
มีพระผู้มีพระภาคเป็นที่พึ่ง ขอประทานวโรกาส
ขอเนื้อความแห่งภาษิตนี้จงแจ่มแจ้งกะพระผู้มีพระภาคเถิด
ภิกษุทั้งหลายได้สดับแล้วจักทรงจำไว้.
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปริยายที่อินทรีย์ ๕ อาศัยแล้ว เป็นพละ ๕
ที่พละ ๕ อาศัยแล้ว เป็นอินทรีย์ ๕ มีอยู่
ปริยายที่อินทรีย์ ๕ อาศัยแล้ว เป็นพละ ๕
ที่พละ ๕ อาศัยแล้ว เป็นอินทรีย์ ๕ เป็นไฉน?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สิ่งใดเป็นสัทธินทรีย์ สิ่งนั้นเป็นสัทธาพละ
สิ่งใดเป็นสัทธาพละ สิ่งนั้นเป็นสัทธินทรีย์
สิ่งใดเป็นวิริยินทรีย์ สิ่งนั้นเป็นวิริยพละ
สิ่งใดเป็นวิริยพละ สิ่งนั้นเป็นวิริยินทรีย์
สิ่งใดเป็นสตินทรีย์ สิ่งนั้นเป็นสติพละ
สิ่งใดเป็นสติพละ สิ่งนั้นเป็นสตินทรีย์
สิ่งใดเป็นสมาธินทรีย์ สิ่งนั้นเป็นสมาธิพละ
สิ่งใดเป็นสมาธิพละ สิ่งนั้นเป็นสมาธินทรีย์
สิ่งใดเป็นปัญญินทรีย์ สิ่งนั้นเป็นปัญญาพละ
สิ่งใดเป็นปัญญาพละ สิ่งนั้นเป็นปัญญินทรีย์.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนแม่น้ำ
ซึ่งไหลไปทางทิศตะวันออก หลั่งไปทางทิศตะวันออก บ่าไปทางทิศตะวันออก
ที่ตรงกลางแม่น้ำนั้นมีเกาะ ปริยายที่กระแสแห่งแม่น้ำนั้นอาศัยแล้ว ย่อมถึงซึ่งความนับว่ากระแสเดียวมีอยู่
อนึ่ง ปริยายที่กระแสแห่งแม่น้ำนั้นอาศัยแล้ว ย่อมถึงซึ่งความนับว่าสองกระแสที่มีอยู่.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปริยายที่กระแสแห่งแม่น้ำนั้น อาศัยแล้ว ย่อมถึงซึ่งความนับว่ากระแสเดียวเป็นไฉน?
คือ น้ำในที่สุดด้านตะวันออกและในที่สุดด้านตะวันตกแห่งเกาะนั้น ปริยายนี้แล
ที่กระแสแห่งแม่น้ำนั้นอาศัยแล้ว ย่อมถึงซึ่งความนับว่ากระแสเดียว.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปริยายที่กระแสแห่งแม่น้ำนั้น อาศัยแล้ว ย่อมถึงซึ่งความนับว่าสองกระแสเป็นไฉน?
คือ น้ำในที่สุดด้านเหนือ และในที่สุดด้านใต้แห่งเกาะนั้น ปริยายนี้แล
ที่กระแสแห่งแม่น้ำนั้นอาศัยแล้ว ย่อมถึงซึ่งความนับว่า สองกระแส ฉันใด.
ฉันนั้นเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลาย
สิ่งใดเป็นสัทธินทรีย์ สิ่งนั้นเป็นสัทธาพละ
สิ่งใดเป็นสัทธาพละ สิ่งนั้นเป็นสัทธินทรีย์
สิ่งใดเป็นวิริยินทรีย์ สิ่งนั้นเป็นวิริยพละ
สิ่งใดเป็นวิริยพละ สิ่งนั้นเป็นวิริยินทรีย์
สิ่งใดเป็นสตินทรีย์ สิ่งนั้นเป็นสติพละ
สิ่งใดเป็นสติพละ สิ่งนั้นเป็นสตินทรีย์
สิ่งใดเป็นสมาธินทรีย์ สิ่งนั้นเป็นสมาธิพละ
สิ่งใดเป็นสมาธิพละ สิ่งนั้นเป็นสมาธินทรีย์
สิ่งใดเป็นปัญญินทรีย์ สิ่งนั้นเป็นปัญญาพละ
สิ่งใดเป็นปัญญาพละ สิ่งนั้นเป็นปัญญินทรีย์.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะความที่อินทรีย์ ๕ อันตนเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
ภิกษุจึงกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้
เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่.
อธิบาย
การที่จะเข้าถึงธรรม มรรคผลตามจริงในแต่ละขณะๆๆ
ไม่ใช่ทำเพียงวันล่ะรอบ หรือสองรอบ หรือวันละ ๒ ครั้ง ๓ ครั้งต่อวัน
ต้องปฏิบัติทั้งกลางวันและกลางคืน
ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงข้อปฏิบัติไว้
ต้องหาเวลาปลีกวิเวก โดยเฉพาะฆราวาส ที่ยังทำงานอยู่
ต้องหาเวลาใช้วันหยุด เข้ารับทำกรรมฐาน ๓ หรือ ๕ หรือ ๗ วัน
ทำให้ติดเป็นนิสัย
สมัยก่อน ทำไมเราถึงสามารถผ่านสภาวะเหล่านั้นมาได้
อาจเพราะเหตุทุกข์ ไม่อยากทุกข์ ตั้งใจทำความเพียร
แรกๆก็ทำเหมือนที่หลายๆคนที่ปฏิบัติกัน
ปฏิบัติที่บ้าน วันหยุดเข้าวัด ทำกรรมฐาน
อันนี้คิดเอาเอง สภาวะเหมือนจะไม่ไปไหน
ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย สักแต่ว่าทำ
ที่ทำเพราะเกิดจากความเชื่อ ความศรัทธามั่นคงไม่คลอนแคลน ไม่หวั่นไหว
ใครจะไปไหน ชวนไปไหน เราไม่ไป
สมัยนั้นเปลี่ยนอาชีพไปดูแลเด็กตามบ้าน
แล้วมีเหตุให้เลิก แล้วหันไปทำขายของ
ก็ไม่เวิร์คหรอก ทำดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ชีวิตช่วงนั้นลำบากมากๆ
อาจเพราะสร้างกรรมดีที่เคยกระทำไว้
เจอรุ่นน้องชวนไปทำงานที่บริษัท ฝ่ายห้องพยาบาล
เราเห็นว่างานนี้เคยทำมาก่อน ทำไม่ยากอาศัยวิชาชีพที่เคยทำมาก่อน
มีห้องทำงานส่วนตัว ติดแอร์ พื้นปูพรหม พนง.มาหาน้อย
ใช้เวลาช่วงที่ไม่มีคนมาหา ก็เดินจงกรม ๑ ชม. ต่อนั่ง ๑ ชม.
ทำตลอดจนถึงเลิกงาน
บางวันเลิกค่ำจึงกลับบ้าน
การใช้ชีวิตจะเป็นแบบนี้
พอกลับถึงบ้าน หัวค่ำขึ้นห้องทำกรรมฐาน เดินจงกรม ๑ ชม. ต่อนั่ง ๑ ชม.
สมัยนั้นไม่เคยไม่ใครบอกว่าควรทำแค่ไหนจึงจะเหมาะสม
ไม่เคยอ่านพระสูตร ไม่เคยรู้ว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสข้อปฏิบัติแค่ไหน
อาศัยศรัทธา เพราะเห็นกรรมและผลของกรรมตามจริง
ที่เกิดจากปฏิบัติตามที่หลวงพ่อจรัญเทศนาเนืองๆ
จะทำให้ชีวิตดีขึ้น ต้องฝืนใจ ไม่ทำตามใจ
การทำกรรมฐาน กำหนดยืนหนอ ๕ ครั้ง
ต่อด้วยเดินจงกรม รวมเวลาทั้งหมด ๑ ชม.
เมื่อครบเวลาที่ตั้งไว้ กำหนดยืนหนอ ๕ ครั้งก่อน จึงค่อยลงนั่ง
พอหมดเวลา เข้าห้องน้ำ แล้วปฏิบัติต่อ จนไม่ไหว ง่วงมากๆ
จะนั่งแบบเทพธิดา นั่งคุกเข่าปลายเท้าราบ
นั่งตัวตรง ปลายเท้าราบ นั่งลงบนฝ่าเท้า มือทั้งสองข้างซ้อนกันไว้
แล้วฟุบหน้าลงบนหลังมือ
หลับไปในท่านั้นจนถึงเช้า เรียกว่าหลังไม่ติดพื้น
บางคนการปฏิบัติลักษณะแบบนี้เรียกเนสัชชิก
เมื่อทำต่อเนื่อง ทำทุกวัน หลายรอบ ยิ่งกว่าไปวัดอีก
หลังจากนั้น ไม่ไปวัดอีก ปฏิบัติที่ทำงานและที่บ้าน ทำแบบนี้มาตลอด
การพูดคุยกับคนอื่นจะมีอยู่
เพราะการคุยนี้แหละ หลังได้มรรคผล
ต่อจากนั้นทำให้สมาธิเสื่อมหมดสิ้น ก็จากการพูดคุยกับคนที่เข้ามาหา
ทั้งที่รู้จักและคนที่ไม่รู้จัก ตอนนั้นไม่รู้เรื่องการถ่ายเทสมาธิ การดูดสมาธิ
เล่าแค่นี้ก่อน จะเล่าให้รู้ว่าหากปฏิิบัติตั้งเป้าหมายมรรคผล
กว่าจะเข้าถึงธรรม มรรคผลตามจริง ต้องมีอินทรีย์ ๕ แก่กล้า
ทำแค่วันละรอบ วันละสองหรือสาม อย่าหวังเลย ไม่ได้แอ้มหรอก
ซึ่งการปฏิบัติเพื่อดับภพชาติของการเกิด จะแตกต่างกัน
ไม่ต้องมาทำความเพียรหนัก
เพียงทำตามที่หลวงพ่อจรัญท่านตั้งพื้นฐานไว้ให้แล้ว
กำหนดยืนหนอ ๕ ครั้ง ต่อเดินจงกรม รวมทั้งหมด ๑ ชม.
กำหนดยืนหนอ ๕ ครั้ง ต่อนั่ง รวมทั้งหมด ๑ ชม.
ต้องปฏิบัติตลอดชีวิต
ผลที่ได้รับ เวลาทำกาละ จะไปเกิดสุทธวาส
เป็นสภาวะของบุคคลที่บรรลุช้า(มรรคผล)
ซึ่งสภาวะตรงนี้จะนำมาอธิบายในครั้งต่อๆไป