โลกสันนิวาสและกามคุณ ๕
หลงทางไปนาน ไปสนใจเรื่องคำว่ากามคุณ ๕
ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้โลกสันนิวาส
ต้องเจอพระสูตรก่อน แล้วพิจรณาจากผลของการปฏิบัติ
การแจ้งอริยสัจ ๔ ด้วยตน จึงสามารถเข้าใจได้
ต้องละที่ละอย่าง
ละโลกสันนิวาสก่อน
ตามมาด้วยละกามคุณ ๕
ด้วยการแจ้งอริยสัจ ๔ ตามจริง
รู้ชัดผัสสะ เวทนา ที่มีเกิดขึ้นตามจริง
เมื่อรู้แล้วจะเป็นเรื่องของโลกธรรม ๘
ที่มีเกิดขึ้นจากการกระทำของตน
ผลที่ได้รับ มาในรูปของเวทนาที่มีเกิดขึ้น
สัตบุรุษ(สกทาคามี) ประเภททุกขาปฏิปทา
จะพูดเรื่องกรรมและผลของกรรมเนืองๆ ที่มีเกิดขึ้นกับตน
หากเข้าถึงธรรมอนาคามิผล ปัจจุบันเป็นพระอรหันต์(อรหันตมรรค)
สัปบุรุษ(อนาคามี) ประเภททุกขาปฏิปทา
จะพูดเรื่องการแจ้งอริยสัจ ๔ โลกธรรม ๘ ที่มีเกิดขึ้นกับตน
หากเข้าถึงธรรมอนาคามิผล ปัจจุบันเป็นพระอรหันต์(อรหันตมรรค)
ทุกขาปฏิปทา
มีเกิดขึ้นขณะดำเนินชีวิต
วิชชา ๒ ปรากฏตามจริง
เข้าถึงอนาคามิผลตามจริง(บรรลุเร็ว)
ได้แก่ พระอนาคามีผู้สสังขารปรินิพพายี
ปัจจุบันเป็นอรหันต์(อรหันตมรรค)
สุขาปฏิปทา
มีเกิดขึ้นขณะทำกรรมฐาน
วิชชา ๒ ปรากฏตามจริง
ได้อนาคามิผลตามจริง(บรรลุเร็ว)
ได้แก่ พระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี
ปัจจุบันเป็นอรหันต์(อรหันตมรรค)
โลกกามคุณสูตรที่ ๑
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย
บุคคลย่อมมีความสำคัญในโลกว่าโลก ถือว่าโลก ด้วยธรรมอะไรเล่า
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย บุคคลย่อมมีความสำคัญในโลกว่าโลก
ถือว่าโลก ด้วยจักษุ …ด้วยหู… ด้วยจมูก… ด้วยลิ้น… ด้วยกาย… ด้วยใจ
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย
บุคคลย่อมมีความสำคัญในโลกว่าโลก ถือว่าโลก ด้วยธรรมอันใด
ธรรมนี้เรียกว่าโลกในวินัยของพระอริยะ
.
๑๓. เตวิชชสูตร
[๓๗๗] ดูกรวาเสฏฐะ เปรียบเหมือนแม่น้ำอจิรวดี
น้ำเต็มเปี่ยมเสมอฝั่ง กาดื่มกินได้
ครั้งนั้น บุรุษผู้ต้องการฝั่ง แสวงหาฝั่ง ไปยังฝั่ง ประสงค์จะข้ามฝั่งไป
เขามัดแขนไพร่หลังอย่างแน่น ด้วยเชือกอย่างเหนียวที่ริมฝั่งนี้
ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
บุรุษนั้นพึงไปสู่ฝั่งโน้นจากฝั่งนี้แห่งแม่น้ำอจิรวดีได้แลหรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.
ดูกรวาเสฏฐะ ฉันนั้นเหมือนกัน กามคุณ ๕ เหล่านี้ ในวินัยของพระอริยเจ้า
เรียกว่าขื่อคาบ้าง เรียกว่าเครื่องจองจำบ้าง
กามคุณ ๕ เป็นไฉน?
คือ รูปที่พึงรู้ด้วยจักษุ เสียงที่พึงรู้ด้วยโสต กลิ่นที่พึงรู้ด้วยฆานะ รสที่พึงรู้ด้วยชิวหา โผฏฐัพพะที่พึงรู้ด้วยกาย
น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก เกี่ยวด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
กามคุณ ๕ เหล่านี้ ในวินัยของพระอริยเจ้า
เรียกว่าขื่อคาบ้าง เรียกว่าเครื่องจองจำบ้าง
พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา กำหนัดสยบ หมกมุ่น ไม่แลเห็นโทษ
ไม่มีปัญญาคิดสลัดออก บริโภคกามคุณ ๕ เหล่านี้อยู่
ก็พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ละธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์เสีย
สมาทานธรรมที่มิใช่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์ประพฤติอยู่
กำหนัด สยบ หมกมุ่น ไม่แลเห็นโทษ
ไม่มีปัญญาคิดสลัดออกบริโภคกามคุณ ๕ พัวพันในกามฉันท์อยู่
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงความเป็นสหายแห่งพรหม
ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
[๓๗๘] ดูกรวาเสฏฐะ เปรียบเหมือนแม่น้ำอจิรวดี
น้ำเต็มเปี่ยมเสมอฝั่ง กาดื่มกินได้
ครั้งนั้น บุรุษผู้ต้องการฝั่ง แสวงหาฝั่ง ไปยังฝั่ง ประสงค์จะข้ามฝั่งไป
เขากลับนอนคลุมตลอดศีรษะเสียที่ฝั่ง
ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
บุรุษนั้นพึงไปสู่ฝั่งโน้นจากฝั่งนี้แห่งแม่น้ำอจิรวดีได้หรือหนอ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้.
ดูกรวาเสฏฐะ ฉันนั้นเหมือนกัน นิวรณ์ ๕ อย่างเหล่านี้ ในวินัยของพระอริยเจ้า
เรียกว่า เครื่องหน่วงเหนี่ยวบ้าง เครื่องกางกั้นบ้าง เครื่องรัดรึงบ้าง เครื่องตรึงตราบ้าง
นิวรณ์ ๕ เป็นไฉน?
คือ กามฉันทนิวรณ์
พยาปาทนิวรณ์
ถีนมิทธนิวรณ์
อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์
วิจิกิจฉานิวรณ์
นิวรณ์ ๕ เหล่านี้แล ในวินัยของพระอริยเจ้า
เรียกว่าเครื่องหน่วงเหนี่ยวบ้าง เครื่องกางกั้นบ้าง เครื่องรัดรึงบ้าง เครื่องตรึงตราบ้าง.
[๓๗๙] ดูกรวาเสฏฐะ พวกพราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา
ถูกนิวรณ์ ๕ เหล่านี้ ปกคลุม หุ้มห่อ รัดรึง ตรึงตราแล้ว
ก็พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ละธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์เสีย
สมาทานธรรมที่มิใช่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์ประพฤติอยู่
ถูกนิวรณ์ ๕ ปกคลุม หุ้มห่อรัดรึง ตรึงตราแล้ว
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงความเป็นสหายแห่งพรหม
ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
.
ผัสสะ
โลกสันนิวาส
วิธีการดับ ด้วยการสดับธรรมจากพระอริยะ สัตบุรุษ สัปบุรุษและปฏิบัติตาม
ทำให้ละสักกายทิฏฐิ จะรู้ปริยัติหรือไม่รู้ปริยัติก็ตาม
๑. ละด้วยศิล
การสดับธรรมจากพระอริยะ สัตบุรุษ สัปบุรุษและปฏิบัติตาม
ทำให้เป็นผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิมีเกิดขึ้นโดยตัวของสภาวะเอง
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๙
สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค
จตุตถเปยยาลที่ ๔
๑. นวาตสูตร
ว่าด้วยเหตุเกิดมิจฉาทิฏฐิ
[๔๖๓] พระนครสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่ออะไรมีอยู่เพราะถือมั่นอะไร เพราะยึดมั่นอะไร
จึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนี้ว่า ลมย่อมไม่พัด แม่น้ำย่อมไม่ไหล สตรีมีครรภ์ย่อมไม่คลอด
พระจันทร์และพระอาทิตย์ย่อมไม่ขึ้นหรือย่อมไม่ตก เป็นของตั้งอยู่มั่นคงดุจเสาระเนียด?
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลายมีพระผู้มีพระภาคเป็นรากฐาน ฯลฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อรูปมีอยู่ เพราะถือมั่นรูป เพราะยึดมั่นรูป
จึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนี้ว่า ลมย่อมไม่พัด ฯลฯ
เป็นของตั้งอยู่มั่นคงดุจเสาระเนียด.
เมื่อเวทนามีอยู่ ฯลฯ เมื่อสัญญามีอยู่ ฯลฯ เมื่อสังขารมีอยู่ฯลฯ
เมื่อวิญญาณมีอยู่ เพราะถือมั่นวิญญาณ เพราะยึดมั่นวิญญาณ
จึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนี้ว่า ลมย่อมไม่พัด ฯลฯ เป็นของตั้งอยู่มั่นคงดุจเสาระเนียด.
[๔๖๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ควรหรือหนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา?
ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เวทนา ฯลฯ สัญญา ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ควรหรือหนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา?
ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
[๔๖๕] พ. เพราะเหตุนั้นแหละ
ภิกษุทั้งหลาย รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน
เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้
รูปทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง
อย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.
เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ฯลฯ
สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง ฯลฯ
สังขารอย่างใดอย่างหนึ่ง ฯลฯ
วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน
เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีตอยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้
วิญญาณทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง
อย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว
เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ฯลฯ
ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
.
๒. ละด้วยการทำกรรมฐาน
๒.๑ ละด้วยรูปฌาน ละด้วยอรูปฌาน
๒.๒ ละด้วยปัญญาไตรลักษณ์
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙
สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค
๙. อุปปาทสูตร
ว่าด้วยความเกิดและความดับทุกข์
[๖๖] พระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ความบังเกิด ความปรากฏแห่งรูป
นี้เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นความตั้งอยู่แห่งโรค
เป็นความปรากฏแห่งชราและมรณะ.
ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความบังเกิด ความปรากฏแห่ง
เวทนา ฯลฯ แห่งสัญญา ฯลฯ แห่งสังขาร ฯลฯ
แห่งวิญญาณ นี้เป็นความเกิดแห่งทุกข์ เป็นความตั้งอยู่แห่งโรค
เป็นความปรากฏแห่งชราและมรณะ.
[๖๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความดับ ความเข้าไประงับ ความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งรูป
นี้เป็นความดับแห่งทุกข์ เป็นความเข้าไประงับแห่งโรค
เป็นความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งชราและมรณะ.
ความดับ ความเข้าไประงับ ความตั้งอยู่ไม่ได้
แห่งเวทนา ฯลฯ แห่งสัญญา ฯลฯ แห่งสังขาร ฯลฯ
แห่งวิญญาณ นี้เป็นความดับแห่งทุกข์ เป็นความเข้าไประงับแห่งโรค
เป็นความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งชราและมรณะ.
๓. ละด้วยการเข้าถึงธรรมโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผลตามจริง
ละสักกายทิฏฐิเป็นสมุจเฉท ไม่มีกำเริบกลับมาอีก
.
กามคุณ ๕ ละด้วยการแจ้งอริยสัจ ๔ ตามจริง
ผู้ที่สามารถละได้ คือ พระอนาคามี หรือสัปบุรุษ ประเภททุกขาปฏิปทา
รู้ชัดผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรามรณะฯลฯ
และลักษณะสภาวะที่มีเกิดขึ้นตามจริงของคำเรียกเหล่านี้
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๑
สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
อายตนสูตร
ว่าด้วยอริยสัจ ๔
[๑๖๘๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสัจ ๔ เหล่านี้ อริยสัจ ๔ เป็นไฉน?
คือทุกขอริยสัจ ทุกขสมุทยอริยสัจ ทุกขนิโรธอริยสัจ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ.
[๑๖๘๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขอริยสัจเป็นไฉน?
ควรจะกล่าวว่า อายตนะ
ภายใน ๖ อายตนะภายใน ๖ เป็นไฉน?
คือ อายตนะคือตา ฯลฯ อายตนะคือใจ
นี้เรียก ว่า ทุกขอริยสัจ.
[๑๖๘๖] ก็ทุกขสมุทยอริยสัจเป็นไฉน?
ตัณหาอันทำให้มีภพใหม่ ประกอบด้วยความกำหนัด
ด้วยอำนาจความพอใจ เพลิดเพลินยิ่งนักในอารมณ์นั้นๆ
ได้แก่กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
นี้เรียกว่า ทุกขสมุทยอริยสัจ.
[๑๖๘๗] ก็ทุกขนิโรธอริยสัจเป็นไฉน?
ความดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือแห่งตัณหานั้นแหละ
ความสละ ความวาง ความปล่อย ความไม่อาลัยตัณหานั้น
นี้เรียกว่า ทุกขนิโรธอริยสัจ.
[๑๖๘๘] ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจเป็นไฉน?
อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แหละ คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ
สัมมาสมาธิ นี้เรียกว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ.
[๑๖๘๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสัจ ๔ เหล่านี้แล
เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียร
เพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
.
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
มหาวรรคที่ ๕
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็คำที่เรากล่าวว่า กำลังใจพึงรู้ได้ในอันตราย… คนมีปัญญาทรามหารู้ไม่ ดังนี้
นี้เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยอะไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ กระทบความเสื่อมญาติ กระทบความเสื่อมโภคทรัพย์ หรือกระทบความเสื่อมเพราะโรค
ย่อมไม่พิจารณาอย่างนี้ว่า โลกสันนิวาสนี้เป็นอย่างนั้นเอง
การได้อัตภาพเป็นอย่างนั้นในโลกสันนิวาสตามที่เป็นแล้ว
ในการได้อัตภาพตามที่เป็นแล้ว
โลกธรรม ๘ คือ ลาภ ๑ ความเสื่อมลาภ ๑
ยศ ๑ ความเสื่อมยศ ๑
นินทา ๑ สรรเสริญ ๑
สุข ๑ ทุกข์ ๑
ย่อมหมุนเวียนไปตามโลกและโลกย่อมหมุนไปตามโลกธรรม ๘ ดังนี้
บุคคลนั้นกระทบความเสื่อมญาติ กระทบความเสื่อมโภคทรัพย์หรือกระทบความเสื่อมเพราะโรค
ย่อมเศร้าโศก ลำบากใจ ร่ำไร ทุบอกคร่ำครวญ ถึงความหลงใหล
ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ กระทบความเสื่อมญาติ กระทบความเสื่อมโภคทรัพย์ หรือกระทบความเสื่อมเพราะโรค
ย่อมพิจารณาอย่างนี้ว่าโลกสันนิวาสนี้เป็นอย่างนั้นเอง
การได้อัตภาพเป็นอย่างนั้นในโลกสันนิวาสตามที่เป็นแล้ว
ในการได้อัตภาพตามที่เป็นแล้ว
โลกธรรม ๘ คือ ลาภ ๑ ความเสื่อมลาภ ๑
ยศ ๑ ความเสื่อมยศ ๑
นินทา ๑ สรรเสริญ ๑
สุข ๑ ทุกข์ ๑
หมุนเวียนไปตามโลกและโลกย่อมหมุนเวียนตามโลกธรรม ๘ ดังนี้
บุคคลนั้นกระทบความเสื่อมญาติ
กระทบความเสื่อมโภคทรัพย์หรือกระทบความเสื่อมเพราะโรค
ย่อมไม่เศร้าโศก ไม่ลำบากใจ ไม่ร่ำไร ไม่ทุบอกคร่ำครวญ ไม่ถึงความหลงใหล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำที่เรากล่าวว่า กำลังใจพึงรู้ได้ในอันตราย… คนมีปัญญาทรามหารู้ไม่ ดังนี้
นี้เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยข้อนี้ ฯ
กว่าจะรู้จะเห็นจะเจอพระสูตร
การสดับธรรมพระอริยะ สัตบุรุษ สัปบุรุษ ปุริสบุคคลและปฏิบัติตาม
อาศัยความเพียรต่อเนื่อง เวลาเวทนากล้ามีเกิดขึ้น ใจเด็ด
ปฏิบัติให้เข้าถึงธรรมตามลำดับก่อน
โสดาบัน
โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล
สกทาคามี
สกทาคามิมรรค สกทาคามิผล
อนาคามี
อนาคามิมรรค อนาคามิผล
อรหันต์
อรหัตมรรค อรหัตผล
วิชชา ๓ มีเกิดขึ้นตามจริง
วิมุตติญาณทัสสนะจะมีเกิดขึ้นโดยตัวของสภาวะเอง
.
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๐
สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค
ปัญจสิขสูตร
[๑๘๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้พระนครราชคฤห์
ครั้งนั้น ปัญจสิขเทพบุตรผู้เป็นบุตรแห่งคนธรรพ์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
เหตุปัจจัยอะไรหนอ ที่เป็นเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้ ไม่ปรินิพพานในปัจจุบัน
เหตุปัจจัยอะไร ที่เป็นเครื่องให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ ปรินิพพานในปัจจุบัน ฯ
[๑๘๑] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรปัญจสิขะ
รูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ ฯลฯ
ธรรมารมณ์ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยใจ อันน่าปรารถนา
น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่
หากภิกษุเพลิดเพลิน หมกมุ่นพัวพันธรรมารมณ์นั้น
เมื่อเธอเพลิดเพลิน หมกมุ่น พัวพันธรรมารมณ์นั้นอยู่
วิญญาณอันอาศัยตัณหานั้นย่อมมี
อุปาทานอันอาศัยตัณหานั้นย่อมมี
ภิกษุยังมีอุปาทาน ยังไม่ปรินิพพาน
ดูกรปัญจสิขะ เหตุปัจจัยนี้แล เป็นเครื่องให้สัตว์
บางพวกในโลกนี้ ไม่ปรินิพพานในปัจจุบัน ฯ
[๑๘๒] ดูกรปัญจสิขะ รูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา
น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่ ฯลฯ
ธรรมารมณ์ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยใจ อันน่าปรารถนา
น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่
หากภิกษุไม่เพลิดเพลิน ไม่หมกมุ่น ไม่พัวพันธรรมารมณ์นั้น
เมื่อเธอไม่เพลิดเพลิน ไม่หมกมุ่น ไม่พัวพันธรรมารมณ์นั้นอยู่
วิญญาณอันอาศัยตัณหานั้นย่อมไม่มี อุปาทานอันอาศัยตัณหานั้นย่อมไม่มี
ภิกษุผู้ไม่มีอุปาทาน ย่อมปรินิพพาน
ดูกรปัญจสิขะ เหตุปัจจัยนี้แล
เป็นเครื่องให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ ปรินิพพานในปัจจุบัน ฯ