ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติ ยินดีให้คำแนะนำ
ในที่นี้ หมายถึงเฉพาะ ผู้ที่ตั้งใจทำความเพียร ส่วนผู้ที่สนใจแค่การสนทนา วลัยพรไม่ยินดีสนทนาด้วย
เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ขณะการปฏิบัติ และ ที่มีเกิดขึ้น ในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะประกอบอาชีพใด หรือมีฐานะใดๆ ก็ตาม
สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิดต่างๆนานา มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่มีอยู่(ของตัวเอง)
และเหตุปัจจัยที่มีกับสิ่งที่เกิดขึ้น(นอกตัวทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต)
เหตุของความไม่รู้ที่มีอยู่ จึงเกิดการสร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น
หากรู้ชัดในสิ่งที่เกิดขึ้นว่า สิ่งที่เกิดขึ้น มีชื่อเรียกว่า ผัสสะ
สิ่งที่เกิดขึ้น ขณะดำเนินชีวิต และ มีเกิดขึ้น ขณะทำความเพียร เป็นความปกติของ ผัสสะ ที่เกิดขึ้น
ความยึดมั่นถือมั่นต่อผัสสะ ที่เกิดขึ้น ย่อมลดน้อยลงไป ตามความรู้ชัดในผัสสะ ที่เกิดขึ้น
การสร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น ย่อมลดน้อยลงไป ตามความรู้ชัดในผัสสะ ที่เกิดขึ้น
ที่หยิบยกมานี้ เป็นหนึ่งในผัสสะ ที่เกิดขึ้น ขณะทำความเพียร และ ที่มีเกิดขึ้น ในการดำเนินชีวิต
ถาม
เคยมีประสบการณ์ทำสมาธิวันละประมาณ 1ชม.ต่อเนื่องเป็นเวลา1เดือน
แต่ณ เวลานี้ เมื่อไม่ได้ปฏิบัติต่อ
ตอบ
ปัจจุบัน ทำแบบไหนอยู่หรือคะ?
หรือตามคำบอกเล่าที่เขียนมาว่า “ณ เวลานี้ ไม่ได้ปฏิบัติต่อ”
ถาม
คุณ walaiporn ห่างมาหลายเดือนมากๆแล้วค่ะ ก่อนจะถอยออกมาก็เจออุปสรรคหนักๆมากมายหลายอย่าง
แต่ก็คิดว่าใจตั้งมั่นพอสมควร ไม่หวั่นไหวแม้จะต้องเจอเรื่องให้ลำบากขนาดไหน เหมือนจะเข้ามาทดสอบหลายๆด้านของอารมณ์
แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดปรุงแต่งอะไรต่อ ไม่เกิดทุกใจ หวั่นไหวใดๆทั้งสิ้น จนมาเจอปัญหาที่ไม่มีเวลามานั่งสมาธิได้
แม้ใจอยากมาก แต่ไม่อาจจริงๆ มันเป็นห่วงเกี่ยวกับภาระการงาน เหมือนหากเราหยุดแล้วอีกเป็นร้อยชีวิตต้องกระเทือน
แม้สักครึ่งชม. ยังหยุดไม่ได้ ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน ว่าเกิดขึ้นได้ยังไง แต่ก็เหมือนเรายอมแพ้
ก็เริ่มจากอยากปฏิบัติจริงๆแต่ไม่มีเวลา จนมาถึงอยากปฏิบัติแต่ไม่หาเวลา
ปกตินั่งวันละประมาน1ชม. +เจริญสติ(คือรู้ลมกับรู้ทันอิริยาบทต่างๆรึเปล่าคะ)เกือบตลอดเวลา
แต่พอห่างการนั่งมาก็เหมือนการรู้ทันสติระหว่างวันมันลดหายไปด้วยค่ะ
ตอนนี้อยากเริ่มใหม่ จึงมาตั้งกระทู้ว่าที่เราปฏิบัติมาเองแบบไม่มีใครแนะนำ ผิดหรือถูก ควรปรับปรุงยังไง เราหลงหรือติดตรงไหนรึเปล่า
ตอนนี้เริ่มมาได้ประมานอาทิตย์หนึ่งแล้วค่ะ ไม่อยากจะห่างหายไปอีก
ตอบ
คำศัพท์ต่างๆ ที่คุณใช้สำทับลงไป ในสิ่งที่คุณคิดว่า น่าจะเรียกว่าอะไร ก็ตาม
คุณสามารถใส่คำเรียกต่างๆ สำทับคำลงไปได้ เรียกได้ตามสะดวก เรียกได้ตามถนัด
หากคุณทำความเพียรต่อเนื่อง คำเรียกต่างๆที่คุณใช้อยู่ จะค่อยๆถูกปรับเปลี่ยนไปตามความรู้ชัดในผัสสะ ที่เกิดขึ้น
ผัสสะ
สิ่งสำคัญ สิ่งแรกที่คุณควรรู้ เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตและที่มีเกิดขึ้น ขณะทำความเพียรอยู่
ไม่ว่าจิตจะเป็นสมาธิ หรือไม่เป็นสมาธิ หรือมีเกิดขึ้นใน อิริยาบทใดๆ ก็ตาม
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ มีชื่อเรียกว่า สภาวะ ซึ่งเป็นสภาพธรรม
หรือลักษณะอาการที่เกิดขึ้น ตามความเป็นจริงของสิ่งที่เรียกว่า ผัสสะ
ทำไมจำเป็นต้องรู้ เกี่ยวกับผัสสะก่อนหากรู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต และที่มีเกิดขึ้น ขณะทำความเพียรอยู่
ไม่ว่าจิตจะเป็นสมาธิ หรือไม่เป็นสมาธิ หรือมีเกิดขึ้นใน อิริยาบทใดๆ ก็ตาม
สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นเหล่านั้น ล้วนเป็นความปกติของผัสสะ ที่เกิดขึ้น
อย่างน้อยๆ อาจช่วยให้ การให้ค่า ให้ความหมาย ความติดใจในสภาวะที่เกิดขึ้น เบาบางลง
เมื่อรู้ชัดว่า เป็นเพียงความปกติของผัสสะต่างๆ ที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง
สิ่งที่คุณบอกเล่ามาทั้งหมด เป็นความปกติของผัสสะ ที่มีเกิดขึ้น
คำบอกเล่า
“เคยมีประสบการณ์ทำสมาธิวันละประมาณ 1ชม.ต่อเนื่องเป็นเวลา1เดือน จึงอยากจะอธิบายเพื่อขอคำชี้แนะ ติเตือนค่ะ ก่อนอื่นขอบอกก่อนเลยว่า ณ ช่วงเวลาที่ปฏิบัติไม่ได้มีความรู้สึกยินดีกับทุกอารมณ์ที่เกิดขึ้นในแนวที่รู้สึกว่ามันพิเศษ นอกจากยินดี และรับรู้ภายใต้ความสงบ อารณ์ตอนนั้นนิ่งแทบจะไม่มีเรื่องใดมากระทบจนทำให้จิตกระเทือน เช่นหากตกใจ ใจมันกระตุกแวบเดียว เหมือนมันรู้มาพร้อมๆกันก็หยุด ไม่ติดใจสงสัย ซึ่งปกติต้องใจสั่นอะไรตามมา มันดับเร็วมาก ช่วงนั้นมีความรู้สึกเบื่อหน่ายการใช้ชีวิตเป็นกำลังมาก กระตุ้นจิตใจตลอดเวลา อยากบวช อยากมุ่งหน้าปฏิบัติ ต้องการความสงบ เพราะถ้าอยู่ณจุดนี้มันมีผลกระทบหลายอย่างทำให้จิตไม่สงบเต็มที่ ใจมันไม่อยากจะเบียดเบียนสิ่งใดก็ตาม หาอาหารการกินบางทีเราเป็นแม่บ้านพยายามหลีกเลี่ยงเพราะอยากถือศิล5ให้ครบยังรู้สึกว่าอยู่ตรงนี้ลำบาก-ไม่รู้ว่าเกิดจากเรื่องมากเกินไปรึเปล่า-อีกอย่างจิตมันคอยนึกถึงคำภาวนาพุธโธหรือสลับกับแค่รู้ลมเข้าออก มันเกิดขึ้นเกือบตลอดเวลาแม้แต่เคลิ้มจะตื่นเหมือนมันตื่นขึ้นมาพร้อมกันเลย-หมกหมุ่นเกินใหม-อีกเช่นมองเห็นอะไรคิดถึงเป็นธรรมะตลอดจิตจะคอยบอกคอยแยกแยะเช่นเห็นบ้านรถของใดๆที่เคยชื่นชมกลับมองเป็นของธรรมดา มองแล้วทบทวนย้อนคิดถึงหาเหตุตั้งแต่มันเริ่มเกิด เก่า แก่ทรุดโทรมจนผุพังหายไป และอย่างวันหนึ่งมองดูพระอาทิตยขึ้นพอคิดว่าสวยปุ๊บ มันเหมือนมีสายใยอะไรสักอย่างเหนี่ยวดึงใจไว้ไม่ให้หลงในคำนั้น มันเป็นชั่ววินาทีแต่มันรู้สึกจริงนะ อธิบายยาก อย่างได้ยินเพลงเพราะ มันเห็นช่วงเวลาระหว่างที่เราจะวางเฉยหรือไปวิ่งตามอารมณ์นั้นๆ-เหมือนคนบ้ารึเปล่า-เพราะช่วงที่ปฏิบัติจะชอบอยู่สงบนึกถึงแต่ลมหายใจคือจะว่ากลัวก็ไม่ใช่แต่จะพยายามรักษาระดับจิตให้สงบอยู่เนื่องๆ เหตุหนึ่งเพราะมันคิดเกือบตลอดที่เราจะเผลอ ว่าความตายมันอาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลาจึงต้องระวังรักษาตัวแลจิตไม่ให้ก่อกรรมขึ้นทั้งกายวาจาใจ-มันมากเกินไปรึเปล่า-ก่อนหน้าเคยทรมานกันโรคร่างกายหาหมอหลายที่ก็ไม่ดีขึ้นไม่มีโรคบ่งชี้ ยิ่งปวดตานี่หมอยอมแพ้หาสาเหตุไม่ได้ส่งตรวจทุกอย่างก็แล้ว แต่มาปฏิบัตินี่หายหมดจริงๆ ไม่มีเจ็บไข้ ไม่มีอยากหรือไม่อยาก ขี้เกียจนั่นนี่ไม่มี ทรงอารมณ์เฉยๆอยู่เรื่อยๆ เหมือนตื่นตลอดเวลา มันเหมื่อนคนสดชื่นอิ่มใจแม้หลังตื่นคือรู้ตัวปุ๊บลุกปั๊บ เพราะปกติ2ทุ่มจะเข้านอนไม่ง่วงนะ แต่พอรู้ว่าหมดหน้าที่ระหว่างวันแล้วก็อยากปฏิบัติต่อ ทั้งลูก2และสามีเปิดทีวีวิ่งกันวุ่นวาย ไม่มีความรู้สึกรำคาญ นอนปุ๊ปกำหนดจิต คือก่อนนอนนี่จะใช้วิธีกำหนดลม+กับนึกถึงเปลวเทียน(เป็นความชอบแบบที่พยายามหลีก แต่ก็ยังอดไม่ได้ยังเอามาใช้ตอนนี้อยู่ พอหลังจะมองเห็นจริงๆไฟลุกพรึบๆ ก็จ้องไปบวกกับภาวนาด้วยจนหลับไป บางทีก็ตัวหมุนๆลอยๆถ้าได้ถึงตรงนี้ก็จะแผ่เมตตา และรู้ไปเรื่อยๆจนหลับ ท่านอนนี่จะตะแคงเอามือข้างหนึ่งหนุน ไม่เอาหมอน เท้าเหยียดตรงมืออีกข้างวางแนบลำตัว ใหม่ก็ฝืนลำบากหน่อยตื่นกลางดึกปวดแขนชามาก แต่สักพักถึงเช้าท่าเดียวเลยไม่เป็นไร ทีนี้นึกจะตื่นเวลาไหนตี4ตีห้า กี่นาทีตรงเป๊ะ อีกเรื่องตื่นเช้าจะลุกมาไหว้พระ อธิษฐานแล้วแผ่เมตตาเป็นประจำ พอเริ่มอธิฐานปุ๊ปจะเกิดความยินดีปลาบปลื้มขนลุกชันซาบซ่านภายในกาย น้ำตาไหลเออ เป็นจนกว่าเราจะหยุดเลย อาการอย่างนี้จะเกิดอีกเมื่ออ่าน/ฟังธรรมะบางประโยค,แผ่เมตตา,ชื่นชมยินดีเมื่อรู้เห็นใคร ไม่ว่าจะทำบุญหรือทำสิ่งดีๆ-เรียกว่าปิติรึเปล่า ทำไมมันเกิดขึ้นแรงและง่ายเหลือเกิน-แล้วอีกอารมณ์หนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันที ไม่ว่าตอนนั้นจะทำอะไรเช่นพอทรุดนั่งปุ๊บก็มาทันที คือจะรู้สึกสุขมาก อิ่มใจ เห็นสิ่งรอบกายแต่เหมือนอารมณ์ว่างเปล่าไร้ สภาวะใดๆ มันเป็นอารมณ์สุขที่สุดที่เคยสัมผัสมาจริงๆ ทุกครั้งที่เกิดก็จะหยุดเคลื่อนไหว ประคองจิตให้รู้อาการนั้นอย่างสงบ แต่จะเป็นแค่2-3นาทีก็หยุดไป-อันนี้คืออะไรคะ- อารมณ์นี้ยังตามมาหลังจากห่างการปฏิบัติมาเป็นครั้ง แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว มันเป็นปิติตัวหนึ่งรึเปล่าเพราะช่วงที่ปฏิบัติ จะรักษาสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ขอใช้คำว่าแทบตลอดเวลา แต่ว่าอารมณ์นี้ มันสุขมากๆ สุขแบบไม่หลง เหมือนสุขกับความว่าง แต่เราก็จะแค่หยุดมองและปล่อยให้มันผ่านไป-หรือควรทำตัวอย่างไร-เคยนั่งสมาธิ,อ่านหนังสือหรือตั้งใจทำอะไรสักอย่างก็จะเกิดอารมคล้ายๆกัน ตัวจะเบาๆหมุนๆไม่รู้ทิศหรือตัวใหญ่พองขึ้น และพอเกิดขึ้นก็จะยังทำอะไรต่อไปโดยก็กำหนดรู้ไปด้วย ต่างกันที่สุขละเอียด กว่ากัน และที่แปลกอีกเรื่องมักจะเห็นภาพแวบมา สถานที่บ้าง คนบ้าง แล้วก็จะได้พบเจอจริง บางทีเห็นก่อน ไม่กี่นาทีก็บังเอิญได้เจอ ลางสังหรก็แม่นด้วย เช่นเดี๋ยวใครจะมา จะว่าอะไร แบบลางสังหรนะคะไม่ได้เป็นเรื่องเป็นราว อีกอย่างเวลาโต้ตอบกับใครไม่ว่าเรื่องใดเคยรู้หรือไม่เคยรู้ ก็สามารถพูดให้เหตุผลกับเขาได้หมด อัศจรรย์มากไม่ต้องมีการเตรียมคิดหาคำตอบเหตุและผลมันพรั่งพรูออกมาเหมือนดังสายน้ำไหล(ไม่รู้จะเปรียบยังไง) สุดท้ายนี้ขอขอบคุณท่านที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้ด้วยค่ะ ถ้ายังอยู่ณ อารมนั้นคงไม่มีหลายๆคำถามมารบกวน เพราะตอนนั้นมันแทบจะไร้ความคิดนึกอยากใดๆ แต่จนถึงวันนี้ ห่างมาหลายเดือน ได้ย้อนไปคิดแล้วเกิดความสงสัยขึ้น ว่ามันแปลกและมีความผิดพลั้งประการใด สิ่งที่ทำถูกต้องใหม ความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างกับจิตใจที่มากเหลือเกินในช่วงเวลา1เดือน มันดูเหมือนเราจะสงบมากเกินไป เข้าถึงธรรมะมากเกินไป หรือเราพยายามทำให้มันเกิดรึเปล่า ระหว่างที่ปฏิบัตินั้นก็เตือนตัวเองอยู่ตลอดเหมือนกันนะ แต่ก็ยังไม่แน่ใจ เพราะแม้แต่ความชอบในสุขก็ยังเป็นกิเลส เผื่อมีตัวไหนที่เรามองไม่เห็น เพราะยังไงก็คิดว่าทุกอาการที่เกิด เราจะคอยตามรู้และดูมันอย่างสงบ ความอยาก ใดๆไม่มี ในตอนนั้น นอนจากอยากบวช,อยากถือศิล,อยากปฏิบัติให้มากเพื่อลดการก่อกรรมทางกาย วาจา ใจ อยากไปให้ถึงพระนิพพาน ลืมบอกไปว่าคำอธิษฐานที่ทำหลังไหว้พระเช้า,ก่อนนอน,นั่งสมาธิ คือขออำนาจพระรัตนตรัย ช่วยหนุนนำบุญกุศลใด ในชาติใดสูงสุดที่ข้าพเจ้าเคยได้ปฏิบัติถึงมาช่วยส่งผลให้ข้าพเจ้าได้สัมผัสเข้าถึงจุดนั้นได้โดยเร็วเพื่อส่งผลการปฏิบัติให้ก้าวหน้าไปตามมรรค แห่งพระพุทธองทรงสอน ให้ได้ถึงพระนิพพานในชาตินี้เถิด อย่าได้หลงผิดทางใดเลย และวิธีนั่งสมาธิ ก็จะนึกอธิฐาน,แผ่เมตตาและกำหนดพุทโธ วันใดจิตฟุ้งมาก ก็จะเอาหลักธรรมคำสอนมาท่องวนไปมาด้วย จิตก็จะสงบส่วนมากก็กฏไตรลักษณ์ สงบในที่นี้ก็คือจะหายใจละเอียดขึ้นตัวเบาตัวหมุน นี่บ่อยๆกะตัวใหญ่พองขึ้น หลังจากนั้นจะหยุดและจะเห็นแสงจ้าและเปลี่ยนมาเป็นขาวนวลตอนนี้ลมจะเบาลงมาก จนเหมือนไหลเข้าออกเอง จิตสบาย รับรู้เสียงทุกอย่างเบาลง เราก็จะกำหนดรู้ดูเรื่อยๆแบบอารมจะเฉยๆ สักพักจะรูสึกอึดอัดแน่นไปทั้งร่าง จะเริ่มหายใจไม่สุด คือหายใจเข้ายาวนานมากๆ หรือออกนานมากๆ และพอเหมือนแน่นจนสุดละวูบเดียวก็สบายเบา เฉย ลมละเอียดมาก แต่ยังรู้สึกทางจิตตอนนี้จะมีแสงส่องมาจ้าขึ้นมากๆอีกละก็จะมาขาวนวลสว่างไสวกว่าเดิม แล้วก็จะเริ่มแวบคิดหรือรู้ลม วนมาปิติ วนมาแสง มาอึดอัด มันเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อย ไม่ก้าวหน้าเลยใช่ใหมคะ ทำไม่ถูกรึเปล่าช่วยแนะนำด้วยค่ะ ด้วยเหตุนี้ด้วยถึงมาคิดว่าตัวแปลกต้องมีสิ่งผิดพลาด เพราะสมาธิไม่เห็นจะก้าวหน้าแต่อารมทางธรรมดูจะเกินจริง เพราะอ่านประสบการจากคนอื่น เขาเห็นนู่นนี่ พระพุทธรูปบ้าง,ตัวเองบ้าง หูดับกายดับบ้างได้เข้าฝึกมโมยิทธิบ้าง สมาธิเขาก้าวหน้าดี แต่ก็ยังพูดคิดถึงคนรัก อยากเที่ยว อยากไปอยากได้อะไรในทางโลกอยู่ แต่ทำไมสมาธิเราไม่เห็นจะก้าวหน้าแต่ด้านอารมณ์สงบเหลือเกิน แค่คิดก็ดับเสียแล้ว ไม่รู้จะอธิบายยังไงตรงนี้ แต่ณ เวลานี้ เมื่อไม่ได้ปฏิบัติต่อ ทุกอารมที่เคยได้ก็หายไปด้วยค่ะ กลับมาเป็นตัวตนเดิมรัก โลภ โกรธ หลงเหมือนเดิม แต่จิตตั้งมั่นในบุญมากขึ้น พยายามมากขึ้น ต่างกับตอนปฏิบัติ จิตมันเป็นของมันเองจบแค่นี้ค่ะ หากผิดพลั้งประการใดขอขมาโทษด้วยนะคะ และขอคุณแห่งสิ่งศักสิทธ์คุ้มครองทุกท่านด้วยค่ะ”
เมื่อคุณยังไม่รู้ชัดใน สิ่งที่เรียกว่า ผัสสะ
เหตุของความไม่รู้ชัดในผัสสะ
เป็นปัจจัยให้ คุณเกิดความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ตามที่เขียนมาทั้งเรื่องของคุณ และเรื่องจากคำบอกเล่าของผู้อื่น การเห็นโน่น เห็นนี่
หากรู้ชัดในผัสสะต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว สิ่งต่างๆที่คุณเขียนเล่ามาแบบนี้ จะไม่มีเกิดขึ้น
เพราะสักแต่ว่า ผัสสะ ที่มีเกิดขึ้น เป็นปกติ ตามเหตุปัจจัยที่มีอยู่ และที่กำลังทำให้เกิดขึ้นใหม่
การทำความเพียร
เรื่องการทำความเพียร จะเรียกว่า การปฏิบัติ หรือการเจริญสติ หรือการทำมาธิ หรือ วิปัสสนา
คุณจะใช้เรียกว่าอะไรก็ได้ ตามความรู้ เข้าใจของคุณ ในตอนนี้
เพราะคำเรียกต่างๆเหล่านี้ ไม่มีผลกระทบต่อผัสสะ ที่เกิดขึ้นหากคุณ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ในคำเรียกต่างๆ
การทำความเพียร ยืน เดิน นั่ง นอน เป็นหลักอิริยาบทใหญ่ คุณทำแบบไหนถนัด ทำได้ตามสะดวก ให้เลือกทำแบบนั้นไปก่อน
เช่น คุณบอกว่า ไม่มีเวลา(ปัจจัยจาก คุณติดอยู่เพียง “นั่งสมาธิ”)
หากจัดสรรเวลาไม่ได้จริงๆ ให้ใช้เวลาก่อนนอน และ ตอนตื่นนอน เป็นการฝึกสติ
โดยการ ขณะที่นอนอยู่ ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ที่มีเกิดขึ้นปกติ รู้ไปตามนั้น
หรือชอบใช้การภาวนาต่างๆ แบบไหนก็ได้ ใช้ไปตามนั้นหรือชอบ
ใช้การกำหนดรู้ท้องพองขึ้น ยุบลง ตามลมหายใจเข้าออก รู้ไปตามนั้นจนกระทั่งหลับลงไป
เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นในตอนเช้า ก่อนลุกจากที่นอน จะอยู่ในท่านอน หรือ ลุกขึ้นนั่งบนที่นอนก็ได้
ให้ตั้งใจแผ่เมตตา กรวดน้ำ ตั้งจิตอธิษฐาน ก่อนที่จะลุกขึ้นทำกิจวัตรประจำวัน
การแผ่เมตตา กรวดน้ำ จะท่องในใจ ก็ได้หรือหากมีอาการง่วงนอน สะลึมสะลือ
ให้ใช้ปากขมุบขมิบท่องเมื่อกลับมารู้ที่กาย(ปากขมุบขมิบ) อาการง่วงนอน จะค่อยๆหายไปเอง
หากทำต่อเนื่องแบบนี้ทุกวัน จะเป็นปัจจัยให้ สติมีกำลังมากขึ้นเป็นปัจจัยให้เกิดความรู้สึกตัว(สัมปชัญญะ) มากขึ้น
เป็นปัจจัยให้ รู้ชัดในสิ่งที่เรียกว่า สมาธิ ที่มีเกิดขึ้นในเวลานอน
หากต้องการรู้ชัดในรายละเอียดของคำเรียกต่างๆ เช่น สมถะ-วิปัสสนาควรศึกษาตามคำสอนที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทิ้งเป็นแนวทางไว้ให้ มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_name.php?name=%C2%D8%A4%B9%D1%B7%B8&book=9&bookZ=33
คำแนะนำที่วลัยพรให้กับคุณคือ ปฏิบัติตามคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า
หากมีข้อสงสัย เกี่ยวกับผัสสะต่างๆ ที่เกิดขึ้น ให้อ่านตามลิงค์ ที่แนบมาให้ เกี่ยวกับสมถะ-วิปัสสนา
ตรงนี้ ว่าด้วย ผัสสะ ที่เกิดขึ้น ขณะทำความเพียร
ส่วน ผัสสะ ที่เกิดขึ้น ในการดำเนินชีวิต คนละเรื่อง แต่เกี่ยวเนื่องต่อกัน
เพราะต่างเกื้อหนุน แก่กันและกัน ในการกระทำเพื่อ ดับเหตุแห่งทุกข์