การเขียนบทความ

 

สิ่งที่เขียน ล้วนเป็นเพียงสภาวะของสัญญา

ขณะสภาวะเป็นสมาธิ  มีสภาวะจิตคิดพิจรณา ล้วนเป็นเพียงสภาวะสัญญาที่ถูกสั่งสมมาในแต่ละภพชาติที่เคยเกิดมาแล้ว

เมื่อจิตตั้งมั่นมากพอ กำลังของสมาธิมีความแนบแน่น เป็นเหตุให้ตั้งมั่นอยู่ได้นาน เมื่อสภาวะสัปชัญญะเกิด ได้แก่ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมขณะจิตเป็นสมาธิ สติจะไปขุดคุัยสัญญาต่างๆเหล่านี้ขึ้นมา

เมื่อยังมีความไม่รู้ อาจทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นว่าความรู้ต่างๆที่เกิดขึ้นขณะจิตเป็นสมาธิอยู่นั้น คิดว่าเป็นปัญญา เป็นเหตุให้มีการนำไปสร้างเหตุด้วยความไม่รู้ เป็นเหตุให้ภพชาติใหม่เกิดขึ้นเนืองๆ

หากสักแต่ว่ารู้ในสิ่งที่รู้หรือความรู้ต่างๆที่เกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิ  แค่รู้ แต่ไม่ได้นำไปสร้างเหตุนอกตัว สภาวะสัญญาหรือความรู้ต่างๆที่เกิดขึ้น จะรู้แบบหยาบๆ และจะมีรายละเอียดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

เพียงแต่ เมื่อออกมาจากสมาธิแล้ว จะจำได้เพียงเล็กน้อย ไม่สามารถจำได้หมด ยกเว้นรีบจดลงในสุมดบันทึก แต่ขอโทษ ลายมือที่จดแทบจะอ่านไม่ออก เพราะยังไม่ใช่ปัญญาที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงของสภาวะ

ฉะนั้น บทความต่างๆที่เขียนไว้ ทั้งบล็อกนี้ บล็อกสปอร็ท หนังสือเรื่องรู้หนอ หนังสือเรื่องน้ำตาหยดสุดท้าย ทั้งหมดที่เขียนไว้ จึงหยุดเขียนไปเป็นช่วงๆ เหมือนเป็นการประติดประต่อ จะมีรายละเอียดของเนื้อหามากขึ้น แต่สภาวะที่เขียนเริ่มสั้นลง

โดยเฉพาะในตอนนี้ บทความต่างๆล้วนมีข้อความในพระไตรปิฎกมาเกี่ยวข้องมากขึ้น เป็นเหตุให้ต้องระมัดระวังในการเขียนบทความมากขึ้น เพราะต้องเก็บรายละเอียดของสภาวะทั้งหมด

ส่วนในเฟสบุ๊ค มีไว้เพื่อเล่นเกมส์ ช่วยในเรื่องสมาธิ แต่ในด้านการแสดงข้อคิดเห็นหรือไปแสดงข้อคิดเห็นในบทความของผู้อื่น ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก ตอนนี้เลิกเขียนข้อคิดเห็นลงไปในบทความหรือข้อคิดเห็นของผู้อื่น

จากบทเรียนของการเขียนข้อคิดเห็นลงไปในบทความหรือข้อคิดเห็นของผู้อื่นถึงแม้จะสนิทหรือไม่สนิทกันก็ตาม สภาวะที่ผ่านมา ทำให้รู้ว่า นั่นคือ ทิฏฐิของผู้อื่น นั่นคือเหตุของผู้อื่น ไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องกับทิฏฐิของผู้ใด

ใครเชื่อใคร ล้วนเกิด นั่นคือ เหตุที่สร้างมาร่วมกัน และ ใครไม่เชื่อใคร นั่นคือ ไม่ได้สร้างเหตุมาร่วมกัน

ที่อาจจะมีข้อคิดเห็นปรากฏอยู่บ้างครั้งคราว เป็นบุคคลที่ผู้เขียนยังให้การแนะนำเรื่องกรรมฐานอยู่อย่างต่อเนื่อง

ส่วนผู้ที่ต้องการสนทนาเรื่องสภาวะต่างๆ ยังมีการสนทนาส่วนตัวเป็นปกติ ถ้ามีการทักมาก่อน ถ้าไม่ทักมา ก็จะไม่ซักถามกลับไป คือ ทำตามสภาวะ ทำตามเหตุ ดูที่การกระทำเป็นหลัก

บทความต่างๆทเขียนอยู่ ล้วนเป็นเพียงสัญญาที่เกิดจากจิตเป็นสมาธิ เพียงเขียนไปเรื่อยๆตามที่รู้ ไม่ได้มุ่งสอนใคร ตราบใดที่ยังมีกิเลส เรียกว่า กิเลส ตราบนั้น ไม่คิดตั้งตนเป็นอาจารย์สอนใคร

 

แม้กระทั่งกับบุคคลที่ได้รับคำแนะนำในแนวทางปฏิบัติ จะเรียกว่า อาจารย์ ไม่เคยยิดติดในคำเรียก เพราะ ถูกเรียกจากความศัรทธาที่มีอยู่ของคนๆนั้น

คำว่า อาจารย์ ไม่แตกต่างจากคำเรียกนายหมู นายหมา นางแมว หรือแม้กระทั่งคำเรียกอื่นๆที่เรียกๆกัน

 

เหตุจากการที่แนะนำทั้งเรื่องสภาวะในสิ่งที่เกิดขึ้นแก่ผู้ที่มาสอบถาม ไม่ว่าจะแนะนำหรือเรื่องใดก็ตาม ล้วนเป็นการสร้างเหตุให้เกิดทั้งสิ้น เหตุมี ผลย่อมมี

 

สิ่งที่ได้พูดหรือแนะนไป ล้วนส่งผลกลับมาทั้งสิ้น มาในรูปของเหตุที่เกิดขึ้นในชีวิต แนะนำน้อยคน ด็โดนน้อย สติยังพอรับมือไหว ถ้าแนะนำเยอะคน เวลาสติไม่ทัน รู้สึกเหนื่อยใจมากๆกับสภาวะที่เกิดขึ้น เป็นเหตุให้ นับวันการพูดคุยน้อยลง ไม่อยากเหนื่อยใจ

 

เวลาที่สภาวะส่งผลกลับมาพร้อมๆกัน เช่น แนะนำไป ๑๐  สภาวะของทั้ง ๑๐ คนที่นำมาถามนั้น เจอหมด โดนกลับมาหมด แม้กระทั่งสภาวะที่ไม่คิดว่าจะโดน เช่น กามราคะหรือความกำหนัดในกาม ผู้นำมาถาม ก็โดนย้อนกลับมาเต็มๆเหมือนกัน

 

จากเหตุต่างๆทั้งหมด นับวันเป็นเหตุให้สภาวะสำรวม สังวรอายตนะเกิดขึ้นเองมากขึ้น เพราะกลัวรับมือไม่ไหวกับสภาวะที่เกิดขึ้น ยุ่งนอกตัวน้อยลง เป้นเหตุให้รู้ชัดในกายและจิตมากขึ้น

 

ส่วนใครเข้ามาอ่าน มีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร หรือมีการวิพากย์วิจารณ์อย่างไร นั่นคือเหตุของเขา ผู้เขียนไม่สนใจในตัวบุคคล แต่รับฟังในสิ่งที่ถูกวิพากย์วิจารณ์ เพียงแต่ไม่มีการต่อยอดด้วยเท่านั้นเอง

เพราะผู้เขียน ได้เขียนบ่งเฉพาะชี้ชัดมาตลอดว่า สิ่งที่เขียนลงไปทั้งหมด ล้วนเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นกับตัวผู้เขียนเอง เขียนเพื่อดูตัวเอง ส่วนใครเข้ามาอ่าน ถือว่าให้เป็นวิทยาทาน ในเรื่องของการสร้างเหตุและการดับเหตุของการเกิดทั้งในภพชาติปัจจุบันและในวัฏฏสงสาร

เพราะเมื่อผู้ปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง จนเกิดสภาวะสัมมาสมาธิ การรู้เห็นไม่แตกต่างจากผู้เขียน นี่คือ ประโยชน์ของผู้ที่เข้ามาอ่านจะได้รับ

สภาวะที่กำลังจะมีการเขียนเพิ่มเติมลงไปใหม่ ได้แก่ สภาวะสัมมาสติ ๑ สภาวะสัมมาสมาธิ ๑ สภาวะสัมมาทิฏฐิ ๑ สภาวะโยนิโสมนสิการ ๑

สภาวะสัมมาสติ เป็นเหตุของการรู้ชัดใน สภาวะสัมมาสมาธิ

สภาวะสัมมาสมาธิ เป็นเหตุให้รู้ชัดใน สภาวะสัมมาทิฏฐิ

สภาวะสัมมาทิฏฐิ เป็นเหตุให้รู้ชัดใน สภาวะโยนิโสมนสิการ

สมถะ-วิปัสสนา ในสติปัฏฐาน ๔

สภาวะสัมมาสติ เกิดจากการเจริญอิทธิบาท ๔ สมาธิ

สมาธิที่เกิดจากสัปปายะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด เป็นสภาวะฉันทสมาธิ

สมาธิที่เกิดจากความเพียรเป็นหลัก เป็นวิริยสมาธิ ได้แก่ กรรมฐาน ๔๐ กอง

สมาธิที่เกิดจากจิตเป็นหลัก เป็นจิตสามธิ เกิดจาก การเจริญสติบ้าง การกำหนดต้นจิตบ้าง การดูจิตบ้าง การนิ่งรู้ นิ่งดู นิ่งสังเเกตุ ฯลฯ

คือ สภาวะใดๆที่จิตเป็นเหตุในการทำสมาธิให้เกิด เป็นจิตสมาธิ

สมาธิที่เกิดจากการคิดพิจรณา เป็นวิมังสาสมาธิ

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=19&A=6725&Z=6749

เมื่อเรียนจบนักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก  บทความที่เขียนเกี่ยวกับสภาวะ คงจะได้ทั้งอรรถะและพยัญชนะมากกว่านี้  แล้วแต่เหตุนะ ไม่คาดหวัง เพียงเขียนไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่  

ใครใครอ่าน อ่านไป ไม่หวงห้าม เป็นสาธารณะกับทุกๆคน

เหมือนกับการที่มีผู้อื่น มาขออณุญาตินำบทความบางส่วนไปจัดพิมพ์เป็นหนังสือ ซึ่งได้นำมาให้ข้าพเจ้าได้ตรวจสอบบทความทั้งหมด รวมทั้งมีบทความของผู้อื่นปนกันอยู่ มีทั้งพระและฆราวาส

ข้าพเจ้าไม่ถือสา เมื่อเห็นว่าเขาจะนำบทความที่ข้าพเจ้าเขียน ไปสอดแทรกลงในบทความของผู้อื่น แล้วมีการอ้างอิงเป็นชื่อผู้อื่นไม่ว่าจะพระหรือฆราวาส  สิ่งนี้เป็นเรื่องของเหตุของเขา

ที่เขียนมานี้ ไม่ได้คิดติติง แต่ตั้งใจจะบอกว่า ในเมื่อข้าพเจ้าพูดชัดเจนแล้วว่า บทความทั้งหมดนี้ ให้เป็นสาธารณะ ให้เป็นธรรมทาน

ฉะนั้น ไม่ว่าใครจะนำเนื้อหาในบล็อกนี้ หรือในบทความที่อื่นๆที่ได้เขียนไว้ ไปทำอะไรก็ตาม ไม่จำเป็นต้องนำมาให้ข้าพเจ้าตรวจทาน เพราะให้ด้วยใจ ไม่ได้คาดหวังผลใดๆกลับมา

เพียงแต่ถ้าต้องการรักษามารยาทหรือระวังในเรื่องของการสร้างเหตุ  นั่นคือการขออนุญาติก่อน แต่ถ้าไม่อยากขอนุญาติก็สามารถทำได้ เพราะเขียนไว้ชัดเจนว่าให้เป็นประโยชน์ในสาธารณะ

สั้นๆคือ ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น เพียงชี้แจงในเรื่องการระวังเหตุเท่านั้นเอง ส่วนจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่มีการบังคับใดๆ

พฤษภาคม 2024
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031  

คลังเก็บ