โซฟาขาหัก

๒๗ กค.๕๔

สภาวะจะเป็นตัวมาสอนตลอดเวลา มาชี้ให้เห็นอย่างชัดๆ ไม่ต้องให้ใครที่ไหนมาบอกว่าอะไรดีหรือไม่ดี เห็นเอง รู้เอง แล้วจิตจะปล่อยวางในเรื่องการเพ่งโทษสิ่งต่างๆนอกตัว ใครจะเป้นอะไร อย่างไร เหตุของเขา ผลของเขา

แต่หันมาดูในตัวมากขึ้น ดูจนเบื่อ เบื่อก็ต้องดู เหตุยังไม่หมด ผลย่อมมีให้ได้รับอยู่ตลอดเวลา สติทันมากขึ้น อยู่กับปัจจุบันได้ทันมากขึ้น ใจสงบมากขึ้น มันมีแค่นี้เองแหละชีวิต

อย่างวันก่อน โซฟาตัวใหม่เพิ่งซื้อมาได้ไม่ถึงเดือน ขาตั้งหักจากฐาน แพงนะไม่ใช่ถูกๆตัวละ ๓๔๐๐ บาท ตั้งใจซื้อให้คนที่บ้านนอนทำสมาธิ เพราะเขาชอบท่านอนมากกว่าท่านั่ง การเดิน เขาอาศัยเดินแล้วรู้กายระหว่างเดินทางกลับบ้านทุกวัน

นี่แหละเหตุของแต่ละคน เขาเองก็ทำตามเหตุของเขา บางทีเราก็บอกกับเขานะ สภาวะเขาสบายจริงๆ เพราะเขาสร้างเหตุมาแบบนั้น การปฏิบัติของบางคนจึงพบแต่ความสะดวกสบายเพราะเหตุนี้

มาต่อเรื่องโซฟา ถ้าเป็นเมื่อก่อน คงต้องอารมณ์เสียอย่างแน่นอน ของเพิ่งซื้อมาเอง ไม่ใช่ราคาถูกๆ แต่นี่ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร พอดีมีนัดกับน้องทานข้าวด้วยกัน เลยแวะไปที่ร้าน ถ่ายรูปไปให้เขาดูว่าขาหักแบบไหน ไปเจอโซฟาปรับนอนได้อีก

จากราคา ๘๙๐๐ บาท ลดเหลือ ๖๙๐๐ บาท ตัดสินใจซื้อมาอีกตัว เพราะตัวนี้ท่าทางแข็งแรง ประกอบด้วยเหล็ก ร้านอื่นขายอยู่ที่ ๑๓๐๐๐ บาท ซื้อที่ร้าน mass ห้างเดอะมอลล์บางกะปิ ส่วนตัวเก่ามีรับประกันอยู่ ๑ ปี เขาซ่อมให้ฟรี

ในดีมีเสีย ในเสียมีดี

เรื่องโซฟาขาหักตัวนี้ก็เหมือนกัน หลังจากซื้อตัวใหม่ให้คนที่บ้าน เขาถูกใจมากใช้นอนทำสมาธิได้ดีกว่าตัวเดิม เพราะมีที่รองเท้าในตัวพร้อมเวลาปรับเลื่อนตัวตามน้ำหนักตัว

ส่วนโซฟาขาหัก นำมาทำที่นั่งสมาธิชั่วคราว ระหว่างรอช่างนำไปซ่อม เป็นที่นั่งสำหรับทำสมาธิได้ดีมากๆ เราแค่วางลงกับพื้น จากเบาะมาเป็นที่นั่ง จากที่นั่งเป็นเบาะ เพราะนั่งไม่ได้ นำหมอนมาใส่รองที่หลัง เป็นเบาะนั่งที่สบายมากๆ

เมื่อทำแบบนี้ได้ ทำให้คิดว่า ระหว่างใน ๑ ปี หากพังอีกก็ส่งซ่อม ถ้าหมดอายุประกัน ก็ยังคงใช้งานได้สบาย คุ้มค่าเงินที่เสียไป

สำส่อน

เช้าวันก่อน มีน้องคนนหนึ่งเข้ามาหา คงไปฟังใครพูดอะไรมาเกี่ยวกับเรื่องของตัวเขา คือ เขาเคยได้เสียกับคนมีเจ้าของ เรียกง่ายๆว่า เมียน้อย อยู่กินด้วยกันระยะหนึ่งแล้วเลิกกันไป ช่วงอกหักใหม่ๆ เขาร้องไห้ทุกวัน

เราบอกกับเขาว่า เมื่อเจอคนใหม่ก็เลิกร้องไห้ไปเองแหละ เขาบอกว่ายังทำใจไม่ได้ นับจากนั้นน่าจะเดือนหนึ่งได้ เขาได้พบพ่อหม้ายลูกติด ได้คบหากัน เขาไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังมากในเรื่องพ่อหม้ายคนนี้

เช้าวันนั้น เขาบอกว่า พี่หนูนี่สำส่อนนะ มีสามีหลายคน เราบอกกับเขาว่า อย่าไปว่าตัวเองแบบนั้น คนเราทุกคนไม่อยากมีชีวิตเป็นแบบนั้นหรอก ถ้าเลือกได้ ทุกคนอยากมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบทั้งนั้น ทุกอย่างคือบทเรียนนะจำไว้

บางคนกว่าจะตั้งต้นได้ ผ่านไปไม่รู้ตั้งกี่คน ฉะนั้นจงอย่าว่าตัวเอง แต่ให้อยู่กับปัจจุบัน ตั้งใจทำตัวให้ดี เริ่มต้นชีวิตใหม่ อย่าคาดหวัง ทำไปแค่นี้แหละ

เช้าวันนี้ มีน้องอีกคนพูดเรื่องคนที่ทำงาน เขาบอกว่าคนบางคนหาดีไม่ได้เลย มีแต่ความเลว เราบอกกับเขาว่า ไม่มีใครหรอกที่จะเลวหรือดีเพียงอย่างเดียว ในดีมีเสีย ในเสียมีดี ทุกๆคนเป็นแบบนั้นจริงๆ ถ้าเราไม่มองคนอื่นแบบมีอคติ

น้องคนนี้จะพูดคุยกับเราทุกวัน ซึ่งบางครั้งมุมมองของเขา ช่วยให้เราเห็นช่องโหว่วของตัวเราเองที่มีอยู่ ทำให้เราสามารถจัดการช่องโหว่ที่เรามีอยู่ได้ง่ายดายมากขึ้น เขาเป็นคนพูดตรงๆ เรายอมรับฟังทุกเรื่องที่เขาตลอดจนคนอื่นๆพูดมา

นี่คือ ผลดีในการยอมรับตามความเป็นจริงในสิ่งที่คนอื่นๆมองและวิพากย์วิจารณ์เรา ตามความรู้สึกนึกคิดของเขา เพราะมันคือผลของเหตุที่เราทำเอาไว้ เมื่อเรายอมรับได้ สภาวะย่อมจบได้ไว ส่วนคนอื่น เรื่องของเขา ผลเขารับของตัวเขาเอง

ไม่มีเหตุ ย่อมไม่ผล หากเราไม่เคยว่าใครๆ แล้วใครที่ไหนเขาจะมาว่าเรา มองที่เหตุแล้วจบ หากมองเลยเหตุ เป็นเรื่องทันที จิตจะมีแต่การคาดเดา มีแต่ให้ค่า สภาวะย่อมไม่จบ เหตุของการก่อให้เกิดเหตุของการเกิดไม่จบเพราะเหตุนี้แหละ

ตัวหนังสือ

เหมือนเรื่องการเขียนตัวหนังสือ บางครั้งการเขียนตามสภาวะ ว่าจะต้องเป็นแบบนั้น แบบนี้ บางคนเขาไม่ได้มองในสิ่งที่เราเขียน แต่เขาอาจจะมองว่าเรากำลังว่าหรือเป็นการเพ่งโทษผู้อื่นทางอ้อม เขาใช้สิ่งที่เราเขียนไปนั้นมาว่าเรา

เราจะอ่านทุกสิ่งที่คนพูดเกี่ยวกับเรา ไม่มีความรู้สึกโกรธใดๆ ซึ่งแตกต่างจากเมื่อก่อนมากๆ นี่แหละผลของการรู้ชัดในเรื่องเหตุ จะมุ่งแก้ที่ตัวเอง ไม่คิดไปแก้ไขนอกตัว เพียงชี้ให้เห็นในสิ่งที่ต้องการชี้ให้รู้ ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ นั่นเหตุของเขา

แต่เมื่อมีการที่เขาว่าเรามา ก็มีส่วนช่วยในการปรับปรุงเรื่องตัวหนังสือ ทั้งๆที่จริงแล้ว สภาวะตามความเป็นจริง มันเป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ในเมื่อเป็นเหตุให้คนอื่นนำมาสร้างเหตุใหม่ให้เกิดกับเรา เราจึงเปลี่ยนแปลงตัวหนังสือใหม่ซะ

แล้วไม่ไปตอบโต้อะไรใครทั้งสิ้น พูดแค่ควรพูด พูดเพื่อให้รู้ว่าทำเพราะอะไร บางทีสติยังไม่ทัน ลืมไปว่า เรื่องที่พูดอยู่ เป้นเรื่องเหตุของคนอื่น ที่เขามีเหตุร่วมกัน ผลคือ เราเป็นฝ่ายถูกว่าไปเต็มๆ ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของเราเลย แค่ชี้ให้ดู

ในดี มีเสีย ในเสียมีดี

ครั้งนี้ผิดเป็นครูอีกครั้งหนึ่ง ทำให้รู้ว่า ต้องตั้งสติให้ทัน เหตุของคนอื่นๆ อย่าไปแตะต้อง ไม่ว่าใครจะให้ร้ายใคร ทุกอย่างล้วนมีเหตุ ผลเลยเป็นเช่นนั้น เราก็เลยโดนไปเต็มๆ แต่ไม่โกรธอะไรใครหรอก เพราะเราผิดจริงๆ ดูไม่ทันเอง

เวลาใครส่งข้อความอะไรมา ที่ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับเรา ลบมันทิ้งไปให้หมด เพราะมันคือเหตุของคนอื่นๆ ไม่ว่าจุดประสงค์ของคนส่งจะต้องการอะไรก็เหตุของเขา คนไหนทำ คนนั้นเป็นผู้รับผล กรรมยุติธรรมเสมอ ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง

ไม่ว่าใครจะทำอะไรอย่างไร การกระทำของคนๆนั้น ย่อมรับผลตามความเป็นจริงของตัวสภาวะ ไม่ใช่ตามความคิด ที่คิดว่าทำถูกหรือทำผิด ถูกหรือผิด ล้วนเป็นการให้ค่าต่อความคิดที่เกิดขึ้น ตามอุปทาน ตามเหตุปัจจัยที่มีต่อสิ่งๆนั้น

ไม่มีอะไรที่ได้ดั่งใจ

ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่ได้ดั่งใจไปหมดเสียทุกอย่าง ในดีมีเสีย ในเสียมีดี ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิต ล้วนเกิดจากตัวเราเองนั้นเป็นคนกำหนดขึ้นมาเองเพราะความไม่รู้ที่ยังมีอยู่

หากแม้นยังยอมรับไม่ได้ในสิ่งที่เกิดขึ้น ให้ทำใจยอมรับไปก่อน ไม่ว่าความรู้สึกนึกคิดจะเป็นอย่างไรก็ตาม รู้สึกอย่างไร ยอมรับไปตามนั้น แต่สภาวะที่กำลังเกิดขึ้น ต้องยอมรับไป ทั้งๆที่ใจไม่ยอมรับก็ตาม

เหตุเพราะ ทุกๆสภาวะที่เกิดขึ้น จะจบลงด้วยเหตุของตัวสภาวะเอง เรามีหน้าที่อย่างเดียวคือยอมรับ ไม่ว่าสิ่งที่กำลังลังเกิดขึ้นจะดีหรือไม่ดี ในความรู้สึกของเราก็ตาม

หากยังยอมรับไม่ได้ ยังมีการตอบโต้หรือคิดแก้ไข สภาวะย่อมเปลี่ยนไปทันที เมื่อเหตุยังไม่จบ ผลย่อมยังส่งผลต่อ สิ่งต่างๆจึงเกิดเดิมๆซ้ำๆตลอดเวลา เพียงแต่จะมองเห็นหรือเปล่าเท่านั้นเอง

ชีวิตปกติ

จิตเป็นปกติมากขึ้นเท่าไหร่ ชีวิตความเป็นอยู่ยิ่งปกติมากขึ้นเท่านั้น ความทะยานอยากทั้งหลายจะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องการปฏิบัติ ไม่มีความอยากเหลืออยู่เลย มีแต่ทำเพราะต้องทำเท่านั้นเอง

ไม่ใช่ทำเพราะความทุกขื ทำเพราะความอยากมี อยากได้ อยากเป้นอะไรๆ แม้กระทั่งความอยากรู้ในสภาวะต่างๆก็ไม่มี มีแต่ความเป็นปกติในการปฏิบัติ เหมือนต้องกินข้าว ต้องอาบน้ำ ต้องหายใจ ต้องทำงานฯลฯ

คือ การปฏิบัติก็เหมือนกับเราต้องใช้ชีวิตน่ะแหละ หากไม่กินข้าวเราก็ตาย ไม่กินน้ำเราก็ตาย โดยเฉพาะไม่หายใจ ยิ่งตายไว การปฏิบัติก็เช่นเดียวกัน ไม่ต้องไปทำเพราะความอยากแต่อย่างใด จึงเป็นเหตุให้ปฏิบัติแบบสบายๆตามสภาวะเท่านั้นเอง

ในดีมีเสีย ในเสียมีดี

๒๕ กค.๕๔

ป่วยมาหลายวัน เพิ่งค่อยยังชั่ว

ไม่เที่ยง

สภาวะสุดยอดจริงๆ อะไรที่คาดเดาเอาไว้ พลิกกลับไปคนละเรื่อง เรียกว่าไม่ให้เราคิดอะไรล่วงหน้า ดูอย่างวันนี้ รู้สึกสภาวะดีแต่เช้า ใจคิดว่าวันนี้คงทำได้หลายรอบ ที่ไหนได้ คนละเรื่องเลยกับที่คิดเอาไว้

คือ ทุกสิ่งทุกอย่าง สภาวะจะให้เราอยู่ในกรอบของปัจจุบัน ความคิดให้อยู่ในปัจจุบัน เลยดูเหมือนสมองมันกลวงๆแบบบอกไม่ถูก อาจจะเนื่องจากเพิ่งทุเลาจากไข้หวัดก็เป็นไปได้ มีแต่ให้ค่าและคาดเดานะ

เมื่อวานเกิดสภาวะยาขยัน สภาวะนี้หายไปนานมาก เมื่อวานนี้เกิด ทำให้ดูเหมือนเป็นคนขยันผิดปกติ ยิ่งทำงานมากเท่าไหร่ สมาธิยิ่งมากตามงาน ระหว่างรอผ้าที่ใส่เครื่องซัก เรานั่งพักในสมาธิไปด้วย รู้สึกตัวตลอด

ต่อมารีดผ้า ต้องปิดเตารีดเป็นระยะๆ เพื่อนั่งพักเวลาสมาธิแรงมากๆ มันจะหมุนๆๆๆรู้อยู่ภายใน ต้องนั่งพัก แล้วค่อยมาทำงานต่อ

๒๖ กค.๕๔

สภาวะที่ไม่ชอบใจที่สุด

ตั้งแต่เจริญสติมา ไม่ว่าจะเจอสภาวะใดๆก็ตาม เริ่มสามารถอยู่ในสภาวะต่างๆเหล่านั้นได้มากขึ้น ไม่ต้องไปทุกข์ใจเพราะสภาวะเหล่านั้นเป็นเหตุ

แต่มีสภาวะหนึ่งที่ไม่ชอบใจมากๆ ไม่ว่าจะมีผัสสะให้เป็นเหตุปัจจัยให้เกิด พอสภาวะละเอียดมากขึ้นเรื่อยๆ สภาวะนี้เริ่มเกิดได้โดยไม่ต้องมีผัสสะเป็นเหตุปัจจัย แต่เกิดเอง เป็นเอง นั่นคือ สภาวะความเบื่อหน่าย

สภาวะความเบื่อหน่าย เป็นสภาวะที่รู้สึกไม่ชอบใจมากที่สุด โดยเฉพาะเวลาที่เกิดขึ้นเองโดยไม่มีสาเหตุ หากมีสาเหตุจะดับได้ไว แต่กับที่ไม่ต้องมีเหตุ สภาวะนี้ทนอยู่ได้ยากจริงๆ มันรู้สึกจุกจิกอยู่ในใจ หงุดหงิดกับตัวเอง

เบื่อหน่ายกับชีวิตที่มองเห็น ชีวิตมีแค่นี้เอง เป็นสภาวะเดิมๆซ้ำๆ ทั้งๆที่รู้ก็ยังเบื่อ ทั้งๆที่รู้ว่าเบื่อไปมันก็แค่นั้น ไม่นานมันก็หาย มันก็ยังเบื่อเมื่อมีโอกาสให้กิเลสเข้าแทรก มันจ้องเข้าแทรกได้ทุกเวลา เป็นเหตุให้ยิ่งนับวันยิ่งเห็นความเบื่อได้ชัด

ในดีมีเสีย ในเสียมีดี

เมื่อเห็นความเบื่อภายในได้ชัด สภาวะภายนอกยิ่งเห็นได้ชัด ในดีมีเสีย ในเสียมีดี สภาวะมาแสดงให้เห็นตลอดเวลา จนไม่มีข้อโต้แย้งใดๆหรือช่องว่างที่จะไปเพ่งโทษใครๆได้อีก จิตมันไม่มีไปทำแบบนั้น

เนื่องจาก พอมองเห็นข้อเสีย มันจะมองเห็นข้อดีทันที หรือมองเห็นข้อดี มันจะมองเห็นข้อเสียทันที ทั้งๆที่เป็นสภาวะเดียวกัน เป็นสิ่งๆที่เกิดขึ้นในสิ่งเดียวกัน แตกต่างจากสภาวะเมื่อก่อนมากๆ จะเห็นแต่เหตุแล้วก็เหตุ

จิตจึงไม่มองเลยเกินบัญญัติไปเพราะเหตุนี้ เพิกบัญญัติได้เพราะเหตุนี้ เพราะเหตุจากเห็นข้อดีและข้อเสียในสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วจะเอาอะไรตรงไหนไปให้คิดเพ่งโทษนอกตัวได้ แม้กระทั่งข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ล้วนมีดีและเสียในตัว

ต้นไม้ ใบหญ้า แม้กระทั่งสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ ล้วนมีข้อดีและข้อเสียในตัวเสมอกัน แล้วจะเอาตรงไหนไปเพ่งโทษได้ ไม่มีอะไรดีที่สุด และไม่มีอะไรที่เลวที่สุด มีแต่ความเสื่อมไปตามสภาวะของสิ่งๆนั้นเองตามเหตุปัจจัย

หากไม่มีสิ่งนั้น ย่อมไม่มีสิ่งนี้ หากไม่มีสิ่งนี้ ย่อมไม่มีสิ่งนั้น ทุกสิ่งล้วนเป็นเหตุและผลในตัวของสภาวะนั้นๆเอง และสุดท้ายย่อมดับสิ้นไปเองตามสภาวะของเหตุปัจจัยสภาวะนั้นๆเอง โดยที่เราไม่ต้องไปคิดจัดแจงแก้ไขอะไรเลย

กว่าจะรู้

กว่าจะรู้ กว่าจะเห็นแจ้งชัดในข้อดีและข้อเสียของสิ่งต่างๆได้ ต้องทำผิดพลาดซ้ำแล้ว ซ้ำอีก จนกว่าจะมีสติมองเห็นตามความเป็นจริงได้ นั่นแหละจึงจะหยุดที่จะเข้าไปข้องเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นได้ ทุกเรื่องราวล้วนมีเหตุปัจจัยให้เกิดขึ้น

เล่นเกมส์

การเจริญสติเหมือนกับการเล่นเกมส์ แทนที่จะเล่นกับคนอื่นๆ แต่เป็นการเล่นเกมส์กับจิตของตัวเอง กับกิเลสต่างๆที่เกิดขึ้นในจิตตามความเป็นจริง ทั้งยามที่มีผัสสะเป็นเหตุ และไม่มีผัสสะเป็นเหตุ กิเลสสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

ลูกล่อลูกชน

กิเลสมีลูกล่อลูกชนตลอดเวลา อยู่ที่ว่าสติที่เรามีอยู่นั้นจะรู้ทันไหม กิเลสมาหลายรูปแบบ ทั้งที่เป็นสิ่งที่เราชอบและไม่ชอบ เราจะถูกทดสอบจิตตลอดเวลา การเจริญสติจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นยิ่งนัก ที่ไม่สามารถหยุดได้เลยแม้แต่สักวันเดียว

บางคนอาจจะบอกว่าหยุดไม่ได้เลยแม้แต่สักวินาทีเดียว อันนี้แล้วแต่เหตุของแต่ละคน สุดแต่ว่าจะให้ค่าอย่างไร สำหรับสภาวะตัวเราเอง แค่ทำได้ทุกวัน ไม่ต้องจำกัดเวลาหรือต้องมาบีบคั้นตัวเองให้ทำเพราะความอยาก นับว่าสบายที่สุดแล้ว

ขนาดไม่สบาย เจ็บป่วยมากแค่ไหน ยังต้องตะเกียกตะกาย ทำสักนิดให้ติดเป็นเชื้อไว้ก็ยังดี ดีกว่าปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไป เพราะรู้แล้ว จึงเข้าใจดีว่าถ้าไม่ทำเลย ผลจะเป็นเช่นไร จิตเลยไม่มีความคิดที่จะหยุดทำ

ต้องทำทุกวัน แรกๆทำด้วยความอยาก อยากแต่ไม่รู้ว่าอยาก จนสุดท้ายรู้ว่าอยาก เมื่อแจ้งชัดในความอยากนั้นๆแล้ว รู้แจ้งชัดในสภาวะต่างๆแล้ว ความอยากต่างๆที่จะอยากรู้เกี่ยวกับสภาวะของสิ่งที่เรียกว่าการปฏิบัติจะหายไปหมดสิ้น

ไม่มีความอยากรู้เรื่องสภาวะใดๆอีกแล้ว เพราะรู้แล้ว แจ้งแล้ว เหตุนี้ความเบื่อหน่ายจึงเกิดขึ้นได้ง่ายมากๆ จากความเบื่อที่เกิดขึ้นแบบหยาบๆ เป็นสภาวะความเบื่อที่ละเอียดมากขึ้นเรื่อยๆ จึงเปรียบเสมือนกับการเล่นเกมส์ที่ยากขึ้นเรื่อยๆ

แรกเริ่มเล่นเกมส์

แรกๆความไม่รู้ในเรื่องของกรรมหรือการกระทำหรือต้นเหตุของการกระทำ แม้กระทั่งผลของเหตุที่เป้นต้นเหตุของการทำให้เกิดการกระทำ จนกระทั่งผลที่ได้รับจากการกระทำ ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าสิ่งต่างๆเหล่านั้นมีอยู่จริง และให้ได้รับจริง

เมื่อไม่รู้มาก่อน ย่อมมีความหลงอยู่มาก เป็นเหตุให้ได้หลงสร้างเหตุไปด้วยความไม่รู้มากมาย ไม่รู้แม้กระทั่งว่าสิ่งต่างๆเหล่านั้นเรียกว่าเป็นตัวก่อให้เกิดภพชาติ ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเราเป็นคนกำหนดชีวิตของตัวเองให้เป็นไปเช่นนั้น

กับดัก

การเล่นเกมส์ย่อมมีกับดัก การเจริญสติก็เช่นเดียวกัน มีกับดักอยู่ตลอดทุกๆเส้นทาง บางกับดักรู้ได้ชัด บางกับดักมืดมิดจนมองไม่เห็น ต้องตกลงไปในกับดัก ได้บาดแผลเสียก่อน จึงจะเริ่มมองเห็น หลุมพรางช่างมากมายเสียจริงๆ

ไม่ว่าจะเจออะไรก็ตาม หากมีสติตั้งมั่น นิ่งสงบ ทำตัวเป็นผู้ดู อย่าตื่นตูมตามสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น จะผ่านสิ่งต่างๆเหล่านั้นไปได้เอง เหมือนเผชิญหน้ากับหมีตัวใหญ่ หากทำตัวให้นิ่งไม่ได้ ต้องตายทันที สภาวะก็เป็นเช่นนั้น

มันเป็นเพียงแค่เกมส์

หากเรามองว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้นเป็นเพียงแค่เกมส์ แล้วเล่นตามกฏกติกาของเกมส์ หากทำตามกฏกติกานั้นได้ จะผ่านด่านแต่ละด่านไปได้อย่างแบบไม่คาดคิดว่าอะไรจะง่ายดายขนาดนั้น แต่ทียากเพราะใจที่ทะยานอยาก

อยากเล่นให้จบเกมส์ไวๆ เพื่อจะได้ไปเล่นเกมส์อื่นๆต่อ ซึ่งมีวางไว้ให้ดูว่า เล่นเกมส์นี้จบ จะได้เล่นด่านที่ยากขึ้นไปเรื่อยๆ นั่นคือ กับดักของเกมส์ที่วางไว้เป็นด่านแรก คือ ความอยาก

ด่านพัก

แต่ละด่าน จะมีด่านที่เป็นที่พักเป็นระยะๆ มีตลอดทางที่เดิน เรียกว่ามีทุกระยะทาง คิดจะพักตอนไหนๆก็ได้ มีทั้งสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ จนกระทั่งมองแล้วเฉยๆมีให้เลือกตามใจต้องการทุกอย่าง สุดแต่ว่าใครจะเลือกเอาเอง

สมุดเกมส์

ทุกๆด่านจะมีสมุดบันทึกหรือตัวไขปริศนาเกมส์ที่กำลังเล่นและเกมส์ต่อไปที่จะต้องเจอ สมุดบันทึกมีไม่อั้น หยิบได้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ทีนี้อยู่ที่ว่า ใครต้องการหรือไม่เท่านั้นเอง มีวางเรี่ยรายจากบุคคลที่ได้เล่นแต่ละเกมส์

เพียงแต่เล่มไหนจะเป็นตัวช่วยให้ง่ายขึ้นหรือเป็นตัวทำให้ยุ่งยากมากขึ้น อันนี้ขึ้นอยู่กับ ตาดีได้ ตาร้ายเสีย บอกแล้วว่ามันเป็นเพียงแค่เกมส์ ในเสียมีดี ในดีมีเสีย เรื่องธรรมดา

วางเอาไว้

ตอนนี้มีสมุดเกมส์ที่เราเองได้เล่นผ่านด่านต่างๆมาแล้ว และได้ทำการบันทึกเอาไว้ เพียงแต่ใครจะสนใจหรือไม่ หรือจะหยิบไปหรือไม่ เราไม่สนใจ แต่ยังคงเขียนทิ้งเอาไว้ตลอดทาง สุดแต่ว่าใครคิดจะหยิบไปลองทำตาม

เริ่มต้นแบบง่ายๆ

การเริ่มต้นเล่นเกมส์ ไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด อันดับแรกคือ ตรวจสอบทรัพย์สินส่วนตัว ได้แก่พลังงานที่มีอยู่ว่ามีมากน้อยแค่ไหน พลังงานนี้ได้แก่ สมาธิ นั่นเอง

ต้องทำการตรวจสอบสมาธิที่มีอยู่ก่อนว่า มีมากน้อยแค่ไหน แล้วสามารถนำออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร

นี่เป็นความคิดที่ช่วยได้เยอะในยามที่เกิดสภาวะเบื่อสุดๆ

บทเรียน

สิ่งที่นำมาบอกเล่าผ่านๆมา ล้วนเป็นประสพการณ์จากสิ่งที่ไม่เคยรู้ ก่อนที่จะรู้ ไม่เคยมีใครมาบอกเล่าให้ฟัง ไม่เคยมีตัวอย่างมาให้ดูหรือให้เห็นเป็นตัวอย่าง

เพราะไม่เคยรู้ในสิ่งต่างๆเหล่านี้ การปฏิบัติที่ผ่านๆมา จึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก เป็นเหตุให้ปฏิบัติแล้วเจอแต่ความทุกข์ตลอดทาง

ที่สำคัญ เป็นเหตุให้เลิกปฏิบัติไปหลายครั้งต่อหลายครั้ง กว่าจะมาถึงจุดๆนี้ ที่ได้เรียนรู้โดยสภาวะจนแจ้งชัดในสภาวะต่างๆได้ในระดับหนึ่ง

สภาวะภายนอก

การปฏิบัติ ไม่ได้มีวิธีการยุ่งยาก แต่ที่ยากที่สุดคือ ใจ ยากมากๆในการทำใจที่จะยอมรับในสิ่งที่เราคิดเอาเองว่า เป็นฝ่ายถูกกระทำ และเราต้องยอมให้เขาทำกับเราเช่นนั้น โดยไม่มีการตอบโต้หรือมีข้อโต้แย้งใดๆ

ไม่มีการหลบลี้หนีหน้า ไม่มีการคิดแก้ตัวใดๆ เพียงแต่ให้อยู่กับสภาวะนั้นๆแบบปกติ ภายนอกมองดูเหมือนปกติ ทั้งๆที่ภายใน ใจไม่ปกติ

สภาวะภายใน

การยอมรับในสิ่งที่เราเป็นอยู่ ส่วนมากจะคิดว่า ภายนอกยังไงก็ได้ ภายในเราย่อมรู้ตัวเราเองดีว่าเป็นอย่างไร หากคิดเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ เพราะกิเลสยังเป็นนายเรา ยังอยู่เหนือและมีอำนาจมากกว่าเรา เราจึงคิดเช่นนี้

เรียกว่า นอกอย่าง ในอย่าง ลักษณะแบบนี้ ยังไม่ยอมรับตามความเป็นจริง ถ้ายอมรับตามความเป็นจริง นอกกับในต้องเหมือนกัน

สิ่งควรรู้ เรื่องของการปฏิบัติทั้งหมด

ญาณ ๑๖ เป็นเรื่องของไตรลักษณ์ เป็นเรื่องของสติ สัมปชัญญะและสมาธิ

ที่สำคัญที่ขาดไม่ได้คือ เรื่องของกิเลส ตรงนี้สำคัญมากๆ มากกว่าเรื่องอื่นๆในญาณ ๑๖

ผัสสะ ได้แก่ การกระทบ ความหมายตามปริยัติหมายถึง เป็น สภาวะของอายตนะภายนอกและอายตนะภายใน ทำงานร่วมกัน

พูดในแง่ของสภาวะ ได้แก่ สิ่งที่มากระทบ เช่น ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นชิมรส ความรู้สึก ความนึกคิด

เมื่อมีผัสสะหรือการกระทบเกิดขึ้น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับสิ่งที่มากระทบ ณ ขณะนั้น เรียกว่า ปัจจุบันอารมณ์ หรือปัจจุบันธรรมหรือปัจจุบัน สุดแต่จะให้ค่า

รู้ได้ แต่อย่าเชื่อ

ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ สามารถรู้ได้ แต่จงอย่าเชื่อ เพราะว่าทุกสิ่งล้วนมีเหตุปัจจัยในตัวของสภาวะนั้นๆเอง

แม้กระทั่งตำราหรือหนังสือต่างๆ มีไว้ให้รู้ แต่อย่ายึดติดจนกระทั่งหลงนำไปสร้างเหตุใหม่ของการเกิดให้เกิดขึ้นใหม่ด้วยความไม่รู้

ถ้าอยากจะเชื่อ คงห้ามกันไม่ได้

เพราะเหตุที่ทำมา สภาวะของแต่ละคนจึงแตกต่างกันไป

ตำราก็เช่นเดียวกัน

ผู้ที่เขียนตำรา ย่อมเขียนตามสิ่งที่ตนเองได้รู้ อาจเกิดจากการศึกษามา ได้ยินได้ฟังมา หรือผลจากการปฏิบัติก็ตาม ไม่ว่าจะเรื่องแนวทางการปฏิบัติ หรือแม้กระทั่งเรื่องอื่นๆ ล้วนเป็นอุบายในการปฏิบัติ รู้อย่างไร ย่อมเขียนตามที่รู้ รู้แค่ไหน เขียนได้แค่นั้น

ส่วนใครมีเหตุร่วมกับใคร ย่อมเชื่อในสิ่งที่ผู้นั้นเขียนหรือนำมาบอกเล่าให้ฟัง หากไม่มีเหตุร่วมกัน ย่อมไม่มีวันที่จะมาเชื่อกัน

เหมือนการอ่านหนังสือหรือตำราต่างๆ ผู้อ่าน มีความรู้หรือรู้ได้ด้วยตนเองแค่ไหน ย่อมอ่านแล้วตีความตามตัวหนังสือได้แค่นั้น

เพิกถอนบัญญัติ

สภาวะการปฏิบัติ

โดยตัวสภาวะที่แท้จริงของการปฏิบัตินั้น ไม่ได้มีอะไรเลยจริงๆ ไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด ไม่ต้องไปค้นหาวิธีการให้วุ่นวาย

เหตุที่ทำให้การปฏิบัติดูแตกต่าง ดูยุ่งยาก ดูวุ่นวาย ล้วนเกิดจากความไม่รู้ ไม่รู้ว่าสภาวะที่แท้จริงนั้นคืออะไร รู้แต่เพียงว่าการกระทำเช่นนี้ๆ เรียกว่า การปฏิบัติ

การปฏิบัติ

การปฏิบัติไม่ว่าจะปฏิบัติแบบไหนๆ ล้วนเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้น ตามเหตุปัจจัยที่แต่ละคนได้เคยกระทำไว้ หรือได้เคยสร้างเหตุ ได้แก่การกระทำนั้นๆไว้ ผลจึงมาให้ได้รับในรูปของเหตุที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

คำว่า ” ปฏิบัติ ” ก็เป็นบัญญัติ แท้จริงแล้ว เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของแต่ละคนเท่านั้นเอง เพราะความที่ยังไม่รู้ชัดในเรื่องของสภาวะ จึงมีการให้ค่าลงไปว่า การกระทำเช่นนี้ๆเรียกว่า การปฏิบัติ

สภาวะ

สภาวะได้แก่ สิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อมีสิ่งที่เกิดขึ้น จึงมีการให้ค่าตามบัญญัติที่มีไว้เพื่อการสื่อสารไปในทางเดียวกัน ซึ่งอาจจะใช่หรือไม่ใช่ตามความเป็นจริงของตัวสภาวะก็ได้ เช่น

สภาวะนี้ๆเรียกว่า วิปัสสนา สภาวะนี้ๆเรียกว่าสมถะ สภาวะนี้ๆเรียกว่าเจริญสติ สภาวะนี้ๆเรียกว่าฌาน สภาวะนี้ๆเรียกว่าฯลฯ จริงๆแล้วล้วนเป็นบัญญัติทั้งสิ้น จะเข้าใจในบัญญัติเหล่านี้ได้ ต้องเพิกถอนบัญญัติทิ้งไปก่อน

ไม่ว่าเป็นสภาวะไหนๆเกิดขึ้นก็ตาม ให้ดูตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ให้รู้ไปในสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตมีความรู้สึกใดๆเกิดขึ้นในจิต ดูสิ่งที่เกิดขึ้น โดยไม่ต้องนำบัญญัติใดๆใส่ลงไปในสิ่งที่เกิดขึ้น หรือในสภาวะที่เกิดขึ้น

ต้นเหตุของความสงสัย

เหตุของความสงสัย ได้แก่ บัญญัติต่างๆที่มีไว้ใช้เรียกแทนสิ่งที่เกิดขึ้น คือ ตัวสภาวะ

เมื่อมีสภาวะใดๆเกิดขึ้น ย่อมมีความสงสัยว่า สภาวะนี้คืออะไร หมายถึงอะไร เรียกว่าอะไร ถูกทางหรือไม่ วิธีนี้ถูกไหม จะมีคำถามสารพัดเวลามีสภาวะใดๆเกิดขึ้น ในขณะที่มีการกระทำที่เรียกว่า ปฏิบัติ

ทั้งๆที่ในชีวิตประจำวัน มีสิ่งต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ทำไมจึงไม่มีคำเรียกลงไปว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้นคืออะไร หรืออาจจะมี แต่ทำไมจึงใช้คำเรียกไม่เหมือนในเวลาที่ปฏิบัติ ทั้งๆที่เป็นเรื่องเดียวกัน คือ ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น

ความอยาก

บัญญัติเป็นต้นเหตุของความอยาก เมื่อมีสภาวะใดๆเกิดขึ้น ความอยากจะนำหน้าทันที อยากรู้ สิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร เรียกว่าอะไร ต่อไปจะพบเจอกับอะไร

การที่จะละความอยากลงไปได้ ต้องละบัญญัติให้ได้ก่อน

การยึดติด

การให้ค่าต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ให้ค่าตามบัญญัติที่ได้ยิน ได้ฟัง ได้เรียนรู้มา ล้วนก่อให้เกิดการยึดติดในสิ่งที่เกิดขึ้น

จะละการยึดติดลงไปได้ ต้องละบัญญัติให้ได้ก่อน

สะดวก สบาย

การปฏิบัติจะเป็นไปด้วยความสะดวก สบาย หากแม้นเพิกถอนบัญญัติต่างๆลงไปได้

เหตุที่ปฏิบัติสะดวกบ้าง ลำบากบ้าง ล้วนเกิดจากการให้ค่าตามบัญญัติ แล้วเป็นเหตุให้เกิดการยึดติด

หากมีการยึดติดในบัญญัติมาก

การปฏิบัติเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะมีความอยากนำหน้า ส่วนจะลำบากมากน้อยแค่ไหน ล้วนเกิดจากเหตุที่ทำมา และเหตุที่กำลังสร้างให้เกิดขึ้นในปัจจุบัน

การปฏิบัติเป็นไปด้วยความสะดวกสบาย

เมื่อละบัญญัติลงไปได้ ส่วนจะสบายมากน้อยแค่ไหน ล้วนเกิดจากเหตุที่ทำมา และเหตุที่กำลังสร้างให้เกิดขึ้นในปัจจุบัน

ชีวิตกับการปฏิบัติ

การใช้ชีวิตกับการปฏิบัติ เป็นสิ่งๆเดียวกัน เพียงแต่ถูกแบ่งแยกออกไปตามสภาวะที่เกิดขึ้นตามบัญญัติที่มีอยู่

หากเข้าใจได้ดังนี้ จะไม่ไปเครียดกับเรื่องการปฏิบัติ เพราะเป็นเรื่องเดียวกันกับการใช้ชีวิตปกติ ที่ไม่ปกติ ที่ดูแตกแยก เกิดจากการให้ค่าตามบัญญัติ

บ่วงร้อยรัดของบัญญัติ

การปฏิบัติแท้จริงไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก

ที่ยุ่งยากคือ บัญญัติต่างๆ ที่นำมาใช้เรียกสภาวะต่างๆที่เกิดขึ้น เป็นเหตุให้มีแต่ความสงสัย ว่าใช่หรือไม่ใช่ สภาวะที่เกิดขึ้นเรียกว่าอะไร

เราต่างถูกบัญญัติร้อยรัดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจจะรู้ได้ เหตุเพราะความอยากเป็นเหตุ อยากรู้ อยากดู อยากเห็น อยากมี อยากได้ อยากเป็นฯลฯ

สารพัดของความอยากที่เป็นตัวต้นเหตุของการก่อภพก่อชาติ ก่อเหตุให้เกิดความสงสัย ก่อให้เกิดการกระทำ นี่แหละโทษของความอยาก

ในดีมีเสีย ในเสียมีดี

ความอยากก็เช่นเดียวกัน เพราะความอยาก เป็นเหตุให้มีความเพียร ถ้าปราศจากความอยาก จะเอากำลังมาจากไหน

บัญญัติมีไว้ให้รู้

บัญญัติมีทั้งคุณและโทษ ยิ่งรู้ ยิ่งอยากรู้ เพราะไม่ได้รู้ด้วยตนเอง แต่รู้จากคำบอกเล่าของผู้อื่น สภาวะจึงแปรเปลี่ยนไปเพราะความอยาก

จิตมีสภาวะซับซ้อน เหตุเพราะกิเลสเป็นต้นเหตุ

Dong Yi

ซีรีย์เกาหลีเรื่องนี้ ทำให้เราอดหลับอดนอนตามดูอย่างต่อเนื่อง เป็นซีรีย์อีกหนึ่งเรื่องที่ให้ค่าว่าดีมากๆ

จากคนดีๆ กลายเป็นคนที่ทำทุกอย่างเพื่อตอบสนองความทะยานอยากที่มีอยู่ ไม่ว่าจะต้องฆ่าก็ตาม เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ

ซีรีย์เรื่องนี้ ไม่แตกต่างจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตของแต่ละคน เพียงแต่จะมองเห็นหรือรู้แล้วยังเท่านั้นเอง

ถาม ถ้ารู้สึกเบื่อเวลาฝึกสติปัฎฐาน4 ต้องทำอย่างไร ถ้าผมเปลี่ยนเป็นดูจิตแทนไปเรื่อยๆได้ไหม เราดูความเบื่อมันไปเรื่อยๆเหรอครับ ไม่ต้องไปตั้งความหวังกับมัน แต่ดูมันเป็นไปตามธรรมชาติของมันเรื่อยๆอย่างนั้นเหรอ

การตอบคำถาม บอกตามตรงนะคะ ตอบได้ค่ะ เพียงแต่ว่าจะตอบแบบครอบคลุม

การที่จะตอบเจาะจงลงไปเลย มันยากที่จะตอบ เพราะสภาวะของแต่ละคนจะแปรเปลี่ยนตลอดเวลา การที่จะแนะนำกันได้ ต้องพูดคุยกันอย่างต่อเนื่อง
……………

ถาม พี่ถ้ารู้สึกเบื่อเวลาฝึกสติปัฎฐาน4 ต้องทำอย่างไร

ตอบ เรื่องปกติค่ะ เพราะทำแล้ว ไม่ได้ดั่งใจ เป็นเหตุให้เกิดความเบื่อค่ะ

…………

ถาม ถ้าผมเปลี่ยนเป็นดูจิตแทนไปเรื่อยๆได้ไหม?

ตอบ การเจริญสติปัฏฐาน คือ มีสติ สัมปชัญญะรู้อยู่ในสิ่งที่เกิดขึ้นในกายและจิตค่ะ เคยปฏิบัติยังไง ทำเหมือนเดิมค่ะ แต่เพิ่มเรื่องการปรับอินทรีย์ลงไป

คือ ให้เดินก่อนที่จะนั่งทุกครั้ง ส่วนจะใช้เวลามากน้อยแค่ไหน ทำตามสะดวกค่ะ แต่ให้ทำทุกวัน

………………

ถาม เราดูความเบื่อมันไปเรื่อยๆเหรอครับ ไม่ต้องไปตั้งความหวังกับมัน แต่ดูมันเป็นไปตามธรรมชาติของมันเรื่อยๆอย่างนั้นเหรอ?

ตอบ รู้สึก,นึกคิดอย่างไร รู้ไปตามนั้น ไม่ต้องไปพยายามทำอะไร ยิ่งพยายามนั่นคือ ความอยาก

ยิ่งอยากมากเท่าไหร่ พอไม่ได้ดั่งใจ ยิ่งเป็นเหตุให้เกิดความเบื่อหน่าย

ทำตามความเป็นจริงสิคะ ทำแล้วจะสบายมากขึ้นค่ะ เพราะไม่ต้องไปกดข่มตัวเองให้ทำด้วยความอยาก

ทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนไม่เที่ยงค่ะ ลองดูให้ดีๆนะคะ เพียงยอมรับตามความเป็นจริงที่รู้สึก,นึกคิด รู้ไปตามนั้น แล้วทำความเพียรต่อเนื่อง ทำมาก ทำน้อย ทำให้ต่อเนื่อง

เบื่อมาก ทำยังไงดี

ถาม

หนูเบื่อตัวเองและเบื่อการปฏิบัติ เวลาปฏิบัติแล้วมันฟุ้ง พยายามดึงจิตกลับมาแล้ว มันก็ออกไปอีก ทำได้ไม่นานก็เลิก มันเลยทำให้ไม่อยากปฏิบัติ หนูพยายามไม่อยากให้ตัวเองสงบแล้วนะ มันก็ดีขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่ทำให้หายไปเลยค่ะ เบื่อตัวเองจริง ๆ ทำยังงัยถึงจะหายค่ะ

ตอบ

การตอบคำถาม บอกตามตรงนะคะ ตอบได้ค่ะ เพียงแต่ว่าจะตอบแบบครอบคลุม

การที่จะตอบเจาะจงลงไปเลย มันยากที่จะตอบ เพราะสภาวะของแต่ละคนจะแปรเปลี่ยนตลอดเวลา การที่จะแนะนำกันได้ ต้องพูดคุยกันอย่างต่อเนื่อง

ไม่ใช่สงสัยแล้วตอบให้หายสงสัย การทำให้ความสงสัยสิ้นไป ต้องเกิดจากผลของการปฏิบัติต่อเนื่องค่ะ
……………….

ขอตอบทีละข้อนะคะ

ถาม หนูเบื่อตัวเองและเบื่อการปฏิบัติ เวลาปฏิบัติแล้วมันฟุ้ง

ตอบ ปฏิบัติแล้วฟุ้ง เป็นเรื่องปกติค่ะ

………….

ถาม พยายามดึงจิตกลับมาแล้ว มันก็ออกไปอีก ทำได้ไม่นานก็เลิก มันเลยทำให้ไม่อยากปฏิบัติ

ตอบ เรื่องปกติค่ะ เพราะไม่ได้ดั่งใจ ถ้าทำได้ดั่งใจ เป็นเหตุให้อยากปฏิบัติต่อ พอทำแล้วไม่ได้ดั่งใจ เป็นเหตุให้ไม่อยากปฏิบัติ
…………………..

ถาม หนูพยายามไม่อยากให้ตัวเอง สงบ แล้วนะ มันก็ดีขึ้นบ้าง แต่ก็ยัง ไม่ทำให้ หายไปเลยค่ะ ( ไม่หาย )

ตอบ อยากให้หายมากเท่าไหร่ ยิ่งไม่หายค่ะ
…………

ถาม เบื่อตัวเองจริง ๆ ทำยังงัยถึงจะหายค่ะ

ตอบ เมื่อไม่ได้ดั่งใจ เป็นเหตุให้เกิดความเบื่อ ทำให้หาย ทำไม่ได้หรอกค่ะ มีวิธีเดียวเท่านั้น ให้ยอมรับตามความเป็นจริงของสิ่งที่เกิดขึ้น รู้สึก,นึกคิดอย่างไร รู้ไปตามนั้น

เคยปฏิบัติแบบไหน ทำต่อไป แต่ให้ใช้การปรับอินทรีย์เข้าช้วย คือ ให้เดินก่อนที่จะนั่งทุกครั้ง ส่วนเวลามากน้อยแค่ไหน ทำได้แค่ไหน ทำไปตามนั้นค่ะ

………………….

จริงๆแล้ว ต้องการรายละเอียดมากกว่านี้ การตอบคำถาม จึงตอบตามสภาวะของคำถามที่ถามมา

ผู้รู้ ผู้ดูชัดขึ้น

ตอนนี้เห็นสภาวะของผู้ดู ผู้รู้แยกตัวออกจากกันได้ชัด ทุกๆการกระทบจะมีสภาวะสองตัวนี่เกิดขึ้นชัดมากกว่าตัวผู้รู้

เป็นเหตุให้กรรมเก่าหรือเหตุเก่าที่เคยทำไว้ ส่งผลให้ได้รับ ซึ่งมาแสดงในรูปของเหตุที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะ

ไม่ว่าจะให้ค่าต่อสิ่งที่เกิดขึ้นดีหรือไม่ดีก็ตาม ปล่อยให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นตามความเป็นจริง มีให้ค่ายอมรับว่าให้ค่า มีความรู้สึกอย่างไร ยอมรับไปตามนั้น เท่ากับได้ชดใช้กรรมหรือเหตุที่เคยทำไว้กับผู้อื่นด้วยความไม่รู้

เมื่อยอมรับได้ดังนี้แล้วเป็นเหตุให้เห็นตามความเป็นจริงมากขึ้น มื่อแค่ดู แค่รู้ได้มากขึ้น จะเห็นสภาวะจิตเห็นจิตได้อย่างชัดเจน จะเห็นสภาวะของผู้รู้ ผู้ดูชัดมากขึ้น

คือ เมื่อผัสสะมากระทบ หรือมีสิ่งที่เกิดขึ้น จะมีผู้รู้เกิดก่อน แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อน จะเกิดตัวผู้รู้ก่อนสภาวะอื่น

สภาวะตัวผู้รู้ คือ ตัวกู ของกูที่มีอยู่มากนี่แหละ ตัวอุปทานให้ค่าตัวสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยที่ยังมีอยู่ แล้วหลงให้ค่าไปด้วยความไม่รู้ ให้ค่ายังไม่พอ ยังไหลไปตามผัสสะหรือสิ่งที่เกิดขึ้น

ไหลไปยังไม่พอ ยังมีการปรุงแต่งมากมาย

ปรุงแต่งยังไม่พอ ยังก่อให้เกิดการกระทำ มีการตอบโต้ มีการอธิบาย มีการกระทำที่มองเห็นเป็นรูปธรรมได้อย่างชัดเจน เรียกว่ามีหลักฐานผูกมัดตัวเอง ไม่ว่าจะเจตนาหรืออไม่เจตนาก็ตาม

สภาวะตัวผู้รู้ เป็นต้นเหตุของการสร้างภพชาติให้เกิดขึ้นใหม่อยู่เนืองๆ อยู่ที่ว่าสติทันไหม หากสติทัน ย่อมหยุดตัวเองได้ไวมากขึ้น ภพชาติย่อมสั้นมากขึ้น หากสติไม่ทัน ภพชาติย่อมยืนยาวออกไป จึงเป็นเหตุให้เวียนว่ายในวัฏฏะไม่รู้จบเพราะเจ้าตัวผู้รู้นี่แหละ

รู้มาก ปรุงมาก รู้มากจึงยากนาน เพราะเหตุนี้

รู้มาก เพราะเข้าใจในเหตุนั้นๆ ไม่ปรุงแต่งยืดเย้อ รู้มากจึงไม่ยากนานเพราะเหตุนี้

หากเพียงรู้วิธีการดับที่ต้นเหตุของเหตุการเกิดทุกข์ทั้งปวงได้ แล้วเพียรปฏิบัติตาม ภพชาติย่อมสั้นลงไปเรื่อยๆจนในที่สุดไม่มีภพชาติอีกต่อไป เพราะดับเหตุทั้งปวงได้หมดสิ้น

ไม่ว่าความเพียรนั้นๆจะเพียรด้วยความอยากที่มีอยู่ อาจเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์เพราะความอยาก เป็นการเบียดเบียนตนเอง การเบียดเบียนเช่นนี้ย่อมประเสริฐกว่าการสร้างเหตุที่เบียดเบียนตัวเองในการสร้างเหตุของการก่อให้เกิดภพชาติให้เกิดขึ้นใหม่

ตัวผู้รู้ สภาวะคือ เมื่อมีผัสสะเกิดขึ้น มีให้ค่าต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วมีการกระทำออกไป เหตุมี ( วจีกรรม กายกรรม ) ผลย่อมมี

ผู้รู้ สภาวะคือ เมื่อมีผัสสะเกิดขึ้น มีให้ค่าต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ไม่ได้สร้างการกระทำออกไป เหตุมี ( มโนกรรม ) ผลย่อมมี

ผู้ดู สภาวะที่เกิดขึ้น เมื่อมีผัสสะเกิดขึ้น แค่ดู ไม่มีการให้ค่าต่อสิ่งที่เกิดขึ้นไม่มีเหตุ ย่อมไม่มีผล

การทำความเพียรต่อเนื่อง จะเกิดสภาวะจิตเห็นจิต เป็นเหตุให้เห็นสภาวะตัวผู้รู้ ผู้รู้และผู้ดูแยกกันทำงานได้อย่างชัดเจน แต่สภาวะทั้งหมดเกิดขึ้นในขณะเดียวกัน นี่แหละปัจจุบันจิต ปัจจุบันขณะ ปัจจุบันธรรม ซึ่งแล้วแต่จะเรียก เพียงแยกตามสภาวะของกิเลสที่เกิดขึ้นในจิต

กิเลสมาก การปรุงแต่งมาก เป็นเหตุให้เกิดสภาวะของตัวผู้รู้

กิเลสเบาบาง การปรุงแต่งสั้นลง เป็นเหตุให้เกิดสภาวะของ ผู้รู้

อุเบกขา เป็นเหตุให้เกิดสภาวะ ผู้ดู

จิตอิสระ

นับวันมีชีวิตที่เป็นอิสระมากขึ้นเรื่อยๆ อิสระจากบรรดาความอยากทั้งหลาย ที่เคยดูไม่ทัน ดูและรู้ทันมากขึ้นเรื่อยๆ จิตจึงเป็นอิสระมากขึ้นเรื่อยๆ

แม้กระทั่งการพูดคุยกับผู้อื่น จากเรื่องต่างๆที่ผ่านมาเป็นครูสอนอย่างดี ควรปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ควรไปยุ่งกับเหตุของผู้อื่น สร้างเหตุอย่างไร ผลย่อมให้ได้รับเช่นนั้น ไม่มีการยกเว้น

ใครจะมีสภาวะอย่างไรนั่นเหตุของเขา ใครพูด ใครทำอะไรอย่างไร นั่นเหตุของเขา ไม่ว่าใครจะทำอะไรๆก็ตาม เขาเป็นผู้รับผล ไม่ใช่เรา ฉะนั้นแค่ดู แค่รู้เมื่อมีเหตุของคนอื่นๆเข้ามากระทบ

พูดแต่เรื่องของตัวเอง กิเลสที่มีอยู่ ดูแต่ภายใน ภายนอกเป็นเรื่องธรรมดาๆ เมื่อมีเราเข้าไปข้อง เรื่องธรรมดาๆจะกลายเป็นการสร้างภพชาติให้เกิดขึ้นทันที

ทุกอย่างลงตัว

สภาวะทุกๆสภาวะที่เกิดขึ้นหลังจากได้เห็นตามความเป็นจริงในระดับหนึ่ง ทุกๆสภาวะล้วนเกิดจากกรรมหรือเรียกว่าธรรมะหรือจะเรียกว่าสภาวะจัดสรรให้ สุดแต่จะเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นว่าอะไร

กรรมก็เป็นธรรมะ

สภาวะก็เป็นธรรมะ

ธรรมะก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นเอง มีอยู่แล้ว เพียงแต่จะมองเห็นตามความเป็นจริงได้หรือยัง

ฉะนั้น ไม่ว่าจะเรียกว่า ธรรมะ,กรรมหรือสภาวะก็ตาม ทุกสิ่งล้วนเป็นเพียงแค่สิ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย เกิดจากผลของกรรมหรือการกระทำที่ได้ทำลงไปตามเหตุ คือ กิเลสที่มีอยู่ในจิตนี่เอง กิเลสที่เกิดขึ้นยามมีผัสสะเกิดขึ้นหรือไม่มีก็ตาม

เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นจะเป็นครูสอนตลอดเวลา มีการเรียนรู้ตลอดเวลา ต้องมีความผิดพลาดก่อนที่จะรู้เท่าทัน เพราะทุกๆเรื่องราวล้วนเป็นเรื่องเดิมๆซ้ำๆ หมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อย เพียงแต่ เราจะดูออกหรือรู้หรือยังเท่านั้นเอง

เรื่องเดิมๆซ้ำๆ เปลี่ยนแค่ฉาก ตัวบุคคล หมุนเวียนมาเล่นละครเป็นแค่ภาพมายาซ้อนๆๆๆๆๆๆลงไป ลึกลงไป ยิ่งลึกมากเท่าไหร่ ยิ่งมีแต่ภาพที่หลอกลวงยากจะดูออก

เราจะเดินย่ำสภาวะเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา แต่มองไม่ออกเลย บางครั้งมีสัญญาเก่าผุดขึ้นมา เรื่องนี้เคยทำแล้ว เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ทั้งๆที่เพิ่งเกิดขึ้นแท้ๆ แต่ทำไมมีความรู้สึก

บางครั้งมีภาพผุดขึ้นมาในจิต ทำแบบนี้ พูดแบบนี้ กับคนๆนี้ เคยทำมาแล้ว เพียงแต่ฉากที่เป็นองค์ประกอบเปลี่ยนไป แต่ตัวบุคคลไม่เปลี่ยน คำพูดไม่เปลี่ยน

นี่แหละภพชาติ เราหลงเวียนวน เหมือนเดินวนอยู่ในเขาวงกต หาทางออกแต่ยังหาไม่เจอ เจอประตูคิดว่าเป็นทางออก กลับกลายเป็นทางเดิม แต่เปลี่ยนองค์ประกอบหรือฉากเท่านั้นเอง

เหตุการณ์บางเหตุการณ์ที่ได้เจอ เป็นการตอกย้ำว่า จงแค่ดู แค่รู้ไป ไม่ต้องไปมีความปรารถนาดีกับใครๆ เพราะนั่นคือเหตุที่เขาสร้างขึ้นมาเอง ต่างคนต่างต้องรับผลไปตามเหตุปัจจัยที่มีอยู่

นับว่ายุคนี้เป็นยุคโลกาภิวัฒน์ เป็นยุคไอที มีเทคโนโลยี่หลายแบบที่เป็นอุปกรณ์ช่วยในการดูจิต เพื่อขัดเกลากิเลสของตัวเอง เพียงแต่จะใช้ไปในทางที่ดับที่เหตุหรือสร้างเหตุของการเกิดเท่านั้นเอง

การเผชิญหน้ากับการกระทำในโลกปัจจุบันโดยตรงกับโลกไอทีแตกต่างกัน ทางไอทียังมีโอกาสถอยออกมาจากสิ่งที่กำลังกระทบอยู่ได้ เรียกว่าสามารถตั้งสติได้ทัน ยังมีโอกาสยับยั้งเหตุของการสร้างเหตุของการเกิดได้ทันบ้าง

ส่วนทางโลกปัจจุบัน เมื่อมีการกระทบโดยตรง หากสติไม่ทัน มีการตอบโต้ไป เสร็จทันที เสียทีกิเลส หลงสร้างเหตุของการเกิดได้ทันตาเห็น ทุกๆสภาวะหรือสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นบทเรียน

บ่วงของพญามารมีหลายรูปแบบ ซึ่งแรกๆจะรู้ได้ยาก ต้องมีการทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่าจะเข็ดและหลาบจำ จนกระทั่งกลายเป็นความเบื่อหน่าย เกิดสภาวะปล่อยวางโดยตัวของจิตเอง โดยที่เรานั้นไม่ต้องไปพยายามปล่อยวาง

ยิ่งวางลงไปได้มากเท่าไหร่ สติรู้เท่าทันต่อกิเลสที่เกิดขึ้นในใจมากขึ้น หยุดตัวเองในการสร้างเหตุของการเกิดได้ทันมากขึ้น

Previous Older Entries

กรกฎาคม 2011
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031

คลังเก็บ