แก่นพรหมจรรย์
ได้แก่ วิมุตติญาณทัสสนะ
แจ้งอริยสัจ ๔ ขันธ์ ๕ และอุปาทานขันธ์ ๕ ตามจริง
และวิธีการปฏิบัติ
อักขณสูตร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนขณะและสมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ มีประการเดียว
ประการเดียวเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้
เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งไปกว่า
เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว
เป็นผู้จำแนกธรรมและธรรมอันตถาคตทรงแสดง
เป็นธรรมนำความสงบมาให้
เป็นไปเพื่อปรินิพพานให้ถึงการตรัสรู้
พระสุคตเจ้าทรงประกาศแล้ว
และบุคคลนี้เกิดในมัชฌิมชนบททั้งมีปัญญา ไม่บ้าใบ้
สามารถเพื่อจะรู้อรรถแห่งสุภาษิตและทุพภาษิตได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นขณะและสมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ประการเดียว ฯ
ชนเหล่าใด เกิดในมนุษยโลกแล้ว
เมื่อพระตถาคตทรงประกาศสัทธรรม ไม่เข้าถึงขณะ
ชนเหล่านั้นชื่อว่าล่วงขณะ
ชนเป็นอันมาก กล่าวเวลาที่เสียไปว่า กระทำอันตรายแก่ตน
พระตถาคตเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ในกาลบางครั้งบางคราว
การที่พระตถาคตเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ๑
การได้กำเนิดเป็นมนุษย์ ๑
การแสดงสัทธรรม ๑
ที่จะพร้อมกันเข้าได้หาได้ยากในโลก
ชนผู้ใคร่ต่อประโยชน์ จึงควรพยายามในกาลดังกล่าวมานั้น
ที่ตนพอจะรู้จะเข้าใจสัทธรรมได้ ขณะ
อย่าล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย
เพราะบุคคลที่ปล่อยเวลาให้ล่วงไป
พากันยัดเยียดในนรก ย่อมเศร้าโศกอยู่
หากเขาจะไม่สำเร็จอริยมรรค อันเป็นธรรมตรงต่อสัทธรรมในโลกนี้ได้
เขาผู้มีประโยชน์อันล่วงเสียแล้ว จักเดือดร้อนสิ้นกาลนาน
เหมือนพ่อค้าผู้ปล่อยให้ประโยชน์ล่วงไป เดือดร้อนอยู่ ฉะนั้น
คนผู้ถูกอวิชชาหุ้มห่อไว้ พรากจากสัทธรรม
จักเสวยแต่สงสาร คือ ชาติและมรณะสิ้นกาลนาน
ส่วนชนเหล่าใดได้อัตภาพเป็นมนุษย์แล้ว
เมื่อพระตถาคตประกาศสัทธรรม ได้กระทำแล้ว จักกระทำ
หรือกระทำอยู่ ตามพระดำรัสของพระศาสดา
ชนเหล่านั้นชื่อว่าได้ประสบขณะ
คือ การประพฤติพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยมในโลก
ชนเหล่าใดดำเนินไปตามมรรคา ที่พระตถาคตเจ้าทรงประกาศแล้ว
สำรวมในศีลสังวรที่พระตถาคตเจ้าผู้มีจักษุเป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ ทรงแสดงแล้ว
คุ้มครองอินทรีย์ มีสติทุกเมื่อ ไม่ชุ่มด้วยกิเลส
ตัดอนุสัยทั้งปวงอันแล่นไปตามกระแสบ่วงมาร
ชนเหล่านั้นแล บรรลุความสิ้นอาสวะถึงฝั่ง คือ นิพพานในโลกแล้ว ฯ
๕. อนุคคหสูตร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิ อันองค์ ๕ อนุเคราะห์แล้ว
ย่อมเป็นธรรมมีเจโตวิมุติเป็นผล มีเจโตวิมุติเป็นผลานิสงส
และเป็นธรรมมีปัญญาวิมุติเป็นผล มีปัญญาวิมุติเป็นผลานิสงส์
องค์ ๕ เป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในธรรมวินัยนี้ สัมมาทิฐิ
อันศีลอนุเคราะห์แล้ว
อันสุตะอนุเคราะห์แล้ว
อันการสนทนาธรรมอนุเคราะห์แล้ว
อันสมถะอนุเคราะห์แล้ว
อันวิปัสสนาอนุเคราะห์แล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิอันองค์ ๕ เหล่านี้แล อนุเคราะห์แล้ว
ย่อมมีเจโตวิมุติเป็นผล มีเจโตวิมุติเป็นผลานิสงส์
และมีปัญญาวิมุตติเป็นผล มีปัญญาวิมุติเป็นผลานิสงส์ ฯ
สัมมาทิฏฐิ
๗. มหาจัตตารีสกสูตร (๑๑๗)
[๒๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ เป็นไฉน
คือ ความเห็นดังนี้ว่า
ทานที่ให้แล้ว มีผล
ยัญที่บูชาแล้ว มีผล
สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล
ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้วมีอยู่
โลกนี้มี โลกหน้ามี
มารดามี บิดามี
สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี
สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ
ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลก มีอยู่
๙. สิกขาสูตร
[๒๒๔] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว
พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว
เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีสิกขาเป็นอานิสงส์
มีปัญญายิ่ง
มีวิมุตติเป็นสาระ
มีสติเป็นใหญ่อยู่เถิด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้งหลาย
มีสิกขาเป็นอานิสงส์
มีปัญญายิ่ง
มีวิมุตติเป็นสาระ
มีสติเป็นใหญ่อยู่
พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
อรหัตผลในปัจจุบัน
หรือเมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ ความเป็นพระอนาคามี ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสเนื้อความนี้แล้ว
ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
เรากล่าวมุนีผู้มีสิกขาบริบูรณ์
มีความไม่เสื่อมเป็นธรรมดา
มีปัญญายิ่ง
มีปรกติเห็นที่สุด คือความสิ้นไปแห่งชาติ
ผู้ทรงไว้ซึ่งร่างกายอันมีในที่สุดนั้นแล ว่าผู้ละมาร ผู้ถึงฝั่งแห่งชรา
เพราะเหตุนั้น ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย
จงเป็นผู้ยินดีในฌาน มีจิตตั้งมั่นแล้วในกาลทุกเมื่อ
มีความเพียร
มีปรกติเห็นที่สุด คือ ความสิ้นไปแห่งชาติ
ครอบงำมารพร้อมด้วยเสนาได้แล้ว
เป็นผู้ถึงฝั่งแห่งชาติและมรณะ ฯ
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว
เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล ฯ
= อธิบาย =
คำว่า ผู้มีสิกขาบริบูรณ์
ได้แก่ อธิศีลสิกขา ๑ อธิจิตตสิกขา ๑ อธิปัญญาสิกขา ๑
คำว่า มีปัญญายิ่ง
ได้แก่ แจ้งอริยสัจ ๔ ขันธ์ ๕และอุปาทานขันธ์ ๕ ตามจริง
คำว่า มีวิมุตติเป็นสาระ
ได้แก่ มรรคผลปรากฏตามจริง
โสดาปัตติผล แจ้งอริยสัจ ๔ ตามจริง
สกทาคามิผล แจ้งอริยสัจ ๔ ตามจริง
อนาคามิผล แจ้งอริยสัจ ๔ ตามจริง
อรหัตผล แจ้งอริยสัจ ๔ ตามจริง
.
ตรงนี้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงผู้ที่ได้อรหัตผลตามจริง
“เรากล่าวมุนีผู้มีสิกขาบริบูรณ์
มีความไม่เสื่อมเป็นธรรมดา
มีปัญญายิ่ง
มีปรกติเห็นที่สุด คือความสิ้นไปแห่งชาติ
ผู้ทรงไว้ซึ่งร่างกายอันมีในที่สุดนั้นแล ว่าผู้ละมาร ผู้ถึงฝั่งแห่งชรา”
= อธิบาย =
คำว่า ผู้มีสิกขาบริบูรณ์
ได้แก่ อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา
คำว่า มีความไม่เสื่อมเป็นธรรมดา
ได้แก่ อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ไม่เสื่อม
คือแจ้งแล้วแจ้งเลย ไม่มีความเสื่อม
ดังที่พระอานนท์นำมาพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้
นิคัณฐสูตร
[๕๑๔] ๗๕. สมัยหนึ่ง ท่านพระอานนท์อยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ใกล้เมืองเวสาลี
ครั้งนั้นแล เจ้าอภัยลิจฉวีกับเจ้าบัณฑิตกุมารลิจฉวี ได้พากันเข้าไปหาท่านพระอานนท์ยังที่อยู่
อภิวาทท่านพระอานนท์แล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วเจ้าอภัยลิจฉวีได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
นิครณฐนาฏบุตร เป็นคนรู้เห็นธรรมทุกอย่าง ย่อมปฏิญญาญาณทัสสนะไว้อย่างไม่มีส่วนเหลือว่า
สำหรับเราจะเดิน จะยืน จะหลับและตื่นก็ตาม ญาณทัสสนะก็ปรากฏชั่วกาลนิรันดร
เขาบัญญัติว่า กรรมเก่าหมดไปเพราะความเพียรเผากิเลส
ฆ่าเหตุได้เพราะไม่ทำกรรมใหม่ ด้วยประการฉะนี้
จึงเป็นอันว่า เพราะกรรมสิ้นไป
ทุกข์จึงหมดไป เพราะทุกข์หมดไป
เวทนาจึงสิ้นไป เพราะเวทนาสิ้นไป
ทุกข์ทั้งสิ้นจึงจักเสื่อมไปโดยไม่เหลือ
การล่วงทุกข์ย่อมมีได้ด้วยความหมดจด
ที่ให้กิเลสเสื่อมไปโดยไม่เหลือ
ซึ่งบุคคลจะพึงเห็นเองนี้ ด้วยประการฉะนี้
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ในข้อนี้ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้อย่างไร
ท่านพระอานนท์ตอบว่า ดูกรเจ้าอภัย
ความหมดจดที่ทำให้กิเลสเสื่อมไปโดยไม่เหลือ ๓ อย่างแล
ความหมดจดที่ทำให้กิเลสเสื่อมไปโดยไม่เหลือ ๓ อย่างแล
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ทรงเห็น
เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ชอบแล้ว
เพื่อความหมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย
เพื่อการล่วงความโศกและความร่ำไร
เพื่อความเสื่อมสูญแห่งทุกข์และโทมนัส
เพื่อบรรลุธรรมที่ควรรู้ เพื่อทำนิพพานให้แจ้ง
ความหมดจด ๓ อย่าง เป็นไฉน คือ
๑. ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล ฯลฯ
สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
เธอไม่ทำกรรมใหม่ด้วย และสัมผัสถูกต้องกรรมเก่า แล้วทำให้สิ้นไป
โดยคิดเห็นว่า ความหมดจดที่ทำให้กิเลสเสื่อมไปโดยไม่เหลือ
ซึ่งผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง เป็นของไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู
ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน ดังนี้ด้วย ฯ
๒. ภิกษุนั้นแล ถึงพร้อมด้วยศีลอย่างนี้แล้ว
สงัดจากกาม ฯลฯ
เข้าจตุตถฌานอยู่
เธอไม่ทำกรรมใหม่ด้วย และสัมผัสถูกต้องกรรมเก่า แล้วทำให้สิ้นไป
โดยคิดเห็นว่า ความหมดจดที่ทำให้กิเลสเสื่อมไปโดยไม่เหลือ
ซึ่งผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง เป็นของไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู
ควรน้อมเข้ามาอันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน ดังนี้ด้วย ฯ
๓. ภิกษุนั้นแล ถึงพร้อมด้วยศีล
ถึงพร้อมด้วยสมาธิอย่างนี้แล้ว
กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้
เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่
เธอไม่ทำกรรมใหม่ ด้วยสัมผัสถูกต้องกรรมเก่า แล้วทำให้สิ้นไป
โดยคิดเห็นว่า ความหมดจดที่ทำให้กิเลสเสื่อมไปโดยไม่เหลือ
ซึ่งผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง เป็นของไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู
ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน ดังนี้ด้วย ฯ
ดูกรเจ้าอภัย ความหมดจดที่ทำให้กิเลสเสื่อมโดยไม่เหลือ ๓ อย่างนี้แล
อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ทรงเห็นเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้ตรัสไว้ชอบแล้ว เพื่อความหมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วงความโศกและความร่ำไร
เพื่อความเสื่อมสูญแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ควรรู้ เพื่อทำนิพพานให้แจ้ง
เมื่อท่านพระอานนท์ได้กล่าวอย่างนี้แล้ว
เจ้าบัณฑิตกุมารลิจฉวีได้พูดกะเจ้าอภัยลิจฉวีว่า ดูกรอภัยเพื่อนรัก
ทำไมท่านจึงไม่ชื่นชมอนุโมทนาคำสุภาษิตของท่านพระอานนท์โดยความเป็นคำสุภาษิตเล่า
เจ้าอภัยลิจฉวีตอบว่า เพื่อนรัก
ไฉนเราจักไม่ชื่นชมอนุโมทนาคำสุภาษิตของท่านพระอานนท์โดยความเป็นคำสุภาษิตเล่า
ผู้ใดไม่ชื่นชมอนุโมทนาคำสุภาษิตของท่านพระอานนท์โดยความเป็นคำสุภาษิต ความคิดของผู้นั้นพึงเสื่อม ฯ
คำว่า มีปัญญายิ่ง
ได้แก่ แจ้งอริยสัจ ๔ ขันธ์ ๕และอุปาทานขันธ์ ๕ ตามจริง
“มีปรกติเห็นที่สุด คือความสิ้นไปแห่งชาติ”
คำว่า ความสิ้นไปแห่งชาติ
ได้แก่ ดับกายกรรม วจีกรรม
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
.
ตรงนี้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสกับพระภิกษุ
หากยังไม่ได้มรรคผลตามจริง ที่ยังต้องทำความเพียร
“เพราะเหตุนั้น ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย
จงเป็นผู้ยินดีในฌาน มีจิตตั้งมั่นแล้วในกาลทุกเมื่อ
มีความเพียร
มีปรกติเห็นที่สุด คือ ความสิ้นไปแห่งชาติ
ครอบงำมารพร้อมด้วยเสนาได้แล้ว
เป็นผู้ถึงฝั่งแห่งชาติและมรณะ ฯ”
= อธิบาย =
“จงเป็นผู้ยินดีในฌาน มีจิตตั้งมั่นแล้วในกาลทุกเมื่อ
ได้แก่ ทำกรรมฐาน
สมถะ(ใช้คำบริกรรม มีบัญญัติเป็นอารมณ์)
ใช้คำบริกรรมต่อเนื่อง จนกระทั่งจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิเนืองๆในฌาน 1 2 3 4 5 6 7 8
วิปัสสนา(มีรูปนามเป็นอารมณ์)
กำหนดต่อเนื่อง จนกระทั่งจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิเนืองๆในฌาน 1 2 3 4 5 6 7 8
คำว่า มีความเพียร
ได้แก่ ปฏิบัติต่อเนื่องจนกระทั่งได้มรรคผลปรากฏตามจริง
โสดาปัตติผล แจ้งอริยสัจ ๔
สกทาคามิผล แจ้งอริยสัจ ถ
อนาคามิผล แจ้งอริยสัจ ๔
อรหัตผล แจ้งอริยสัจ ๔
“มีปรกติเห็นที่สุด คือ ความสิ้นไปแห่งชาติ”
คำว่า ชาติ
ได้แก่ กายกรรม วจีกรรม
คำว่า ความสิ้นไปแห่งชาติ
ได้แก่ ไม่สร้างกรรมใหม่ให้มีเกิดขึ้นอีก
“เดิมเขียนไว้แบบนี้
คำว่า ความสิ้นไปแห่งชาติ
ได้แก่ ดับกายกรรม วจีกรรม
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
การอธิบายแบบนี้ อาจจะไม่เข้าใจ
จึงไปเขียนอธิบายใหม่ จะเข้าใจง่ายกว่า
คือต้องแยกสภาวะออกจากกัน จะมองเห็นชัด”
อปริหานิสูตร
[๓๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ
เป็นผู้ไม่ควรเพื่อเสื่อมรอบ ชื่อว่าย่อมประพฤติใกล้นิพพานทีเดียว
ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ๑
เป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ๑
เป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ ๑
เป็นผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งมีความเพียรเครื่องตื่นอยู่ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีลอย่างไร
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีลสำรวมระวังในพระปาติโมกข์
ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร
มีปรกติเห็นภัยในโทษมีประมาณน้อย
สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
ภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลายอย่างไร
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว
ไม่ถือเอาโดยนิมิต ไม่ถือเอาโดยอนุพยัญชนะ
ย่อมประพฤติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว
จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก
คือ อภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้
ชื่อว่ารักษาจักขุนทรีย์
ชื่อว่าถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ฟังเสียงด้วยหู …
ดมกลิ่นด้วยจมูก …
ลิ้มรสด้วยลิ้น …
ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย …
รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว
ไม่ถือเอาโดยนิมิต ไม่ถือเอาโดยอนุพยัญชนะ
ย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมมนินทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว
จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก
คือ อภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้
ชื่อว่ารักษามนินทรีย์
ชื่อว่าถึงความสำรวมในมนินทรีย์
ภิกษุเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลายอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะอย่างไร
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว
ย่อมกลืนกินซึ่งอาหารมิใช่เพื่อจะเล่น มิใช่เพื่อจะมัวเมา
มิใช่เพื่อประเทืองผิว มิใช่เพื่อจะตกแต่ง
เพียงเพื่อร่างกายนี้ดำรงอยู่ได้ เพื่อยังอัตภาพให้เป็นไป
เพื่อกำจัดความลำบาก เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์
ด้วยหวังว่า จักกำจัดเวทนาเก่าและจักไม่ยังเวทนาใหม่ให้บังเกิดขึ้น
ความเป็นไป ความที่ร่างกายไม่มีโทษ และความอยู่สำราญจักมีแก่เรา
ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้ประกอบเนืองๆ
ซึ่งความเพียรเครื่องตื่นอยู่อย่างไร
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมเครื่องกั้น
ด้วยการเดินจงกรม ด้วยการนั่งตลอดวัน
ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมเครื่องกั้น
ด้วยการเดินจงกรม ด้วยการนั่งตลอดปฐมยามแห่งราตรี
ย่อมสำเร็จสีหไสยาโดยข้างเบื้องขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า
มีสติสัมปชัญญะ มนสิการความสำคัญในอันจะลุกขึ้น
ตลอดมัชฌิมยามแห่งราตรี
ลุกขึ้นแล้วย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมเครื่องกั้น
ด้วยการเดินจงกรม ด้วยการนั่ง ตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรี
ภิกษุเป็นผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งความเพียรเครื่องตื่นอยู่อย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล
เป็นผู้ไม่ควรเพื่อเสื่อมรอบ ชื่อว่าย่อมประพฤติใกล้นิพพานทีเดียว ฯ
ภิกษุผู้ดำรงอยู่ในศีล
สำรวมในอินทรีย์ทั้งหลาย
รู้ประมาณในโภชนะ
และย่อมประกอบเนืองๆ ซึ่งความเพียรเครื่องตื่นอยู่
ภิกษุผู้มีปรกติพากเพียรอยู่อย่างนี้ ไม่เกียจคร้านตลอดวันและคืน
บำเพ็ญกุศลธรรมเพื่อถึงความเกษมจากโยคะ
ภิกษุผู้ยินดีในความไม่ประมาท หรือมีปรกติเห็นภัยในความประมาท
เป็นผู้ไม่ควรเพื่อความเสื่อม ชื่อว่าประพฤติใกล้นิพพานทีเดียว
๑๐. ชาคริยสูตร
[๒๒๕] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว
พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว
เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ภิกษุพึงเป็นผู้มีความเพียรเป็นเครื่องตื่น
มีสติสัมปชัญญะ
มีจิตตั้งมั่น เบิกบาน ผ่องใส
และพึงเป็นผู้เห็นแจ้งในกุศลธรรมทั้งหลาย
สมควรแก่กาลในการประกอบกรรมฐานนั้นเนืองๆ เถิด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อภิกษุมีความเพียรเป็นเครื่องตื่น
มีสติสัมปชัญญะ
มีจิตตั้งมั่น เบิกบานผ่องใส
เห็นแจ้งในกุศลธรรมทั้งหลาย
สมควรแก่กาลในการประกอบกรรมฐานนั้นเนืองๆ
พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตผลในปัจจุบัน
หรือเมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ ความเป็นพระอนาคามี ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว
ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
เธอทั้งหลายตื่นอยู่ จงฟังคำนี้
เธอเหล่าใดผู้หลับแล้ว
เธอเหล่านั้นจงตื่น
ความเป็นผู้ตื่นจากความหลับเป็นคุณประเสริฐ เพราะภัยย่อมไม่มีแก่ผู้ตื่นอยู่
ผู้ใดตื่นอยู่มีสติสัมปชัญญะ
มีจิตตั้งมั่น เบิกบาน และผ่องใส
พิจารณาธรรมอยู่โดยชอบโดยกาลอันควร
ผู้นั้นมีสมาธิเป็นธรรมเอกผุดขึ้นแล้ว พึงกำจัดความมืดเสียได้
เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุพึงคบธรรมเครื่องเป็นผู้ตื่น
ภิกษุผู้มีความเพียร
มีปัญญาเป็นเครื่องรักษาตน
มีปรกติได้ฌาน
ตัดกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ด้วยชาติและชราได้แล้ว
พึงถูกต้องญาณอันเป็นเครื่องตรัสรู้อย่างยอดเยี่ยมในอัตภาพนี้แล ฯ
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว
เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล ฯ
= อธิบาย =
“พึงเป็นผู้เห็นแจ้งในกุศลธรรมทั้งหลาย”
ได้แก่ สีลปาริสุทธิ
“ผู้นั้นมีสมาธิเป็นธรรมเอกผุดขึ้นแล้ว”
คำว่า ผู้นั้นมีสมาธิ
ในที่นี้ได้แก่ สัมมาสมาธิ
คำว่า ธรรมเอกผุด
ได้แก่ สตินทรีย์
๘. สัลลานสูตร
[๒๒๓] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว
พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว
เพราะเหตุนั้นข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีความหลีกเร้นเป็นที่มายินดี
ยินดีแล้วในความหลีกเร้น
ประกอบจิตของตนไว้ในสมถะในภายในเนืองๆ มีฌานไม่เสื่อม
ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคารอยู่เถิด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้งหลายมีความหลีกเร้นเป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในความหลีกเร้น
ประกอบจิตของตนไว้ในสมถะในภายในเนืองๆ มีฌานไม่เสื่อม
ประกอบด้วยวิปัสสนา
พอกพูนสุญญาคารอยู่
พึงหวังได้ผล ๒ อย่าง คือ อรหัตผลในปัจจุบัน
หรือเมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ ความเป็นพระอนาคามี ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว
ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
ชนเหล่าใดมีจิตสงบแล้ว
มีปัญญาเป็นเครื่องรักษาตน
มีสติ
มีฌาน
ไม่มีความเพ่งเล็งในกามทั้งหลาย
ย่อมเห็นแจ้งธรรมโดยชอบ
เป็นผู้ยินดีแล้วในความไม่ประมาท
มีปรกติเห็นภัยในความประมาท
ชนเหล่านั้นเป็นผู้ไม่ควรเพื่อความเสื่อมรอบ
ย่อมมีในที่ใกล้นิพพานเทียว
= อธิบาย =
“ยินดีแล้วในความหลีกเร้น
ประกอบจิตของตนไว้ในสมถะในภายในเนืองๆ มีฌานไม่เสื่อม
ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคารอยู่เถิด”
คำว่า ยินดีแล้วในความหลีกเร้น
ได้แก่ ทำกรรมฐาน
คำว่า ประกอบจิตของตนไว้ในสมถะในภายในเนืองๆ
สมถะเกิดก่อน วิปัสสนาเกิดที่หลัง
สมถะ(ใช้คำบริกรรม มีบัญญัติเป็นอารมณ์)
บริกรรมต่อเนื่อง จนกระทั่งจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิในฌาน 1 2 3 4 5 6 7 8
วิปัสสนาเกิดก่อน สมถะเกิดที่หลัง
วิปัสสนา(มีรูปนามเป็นอารมณ์)
กำหนดต่อเนื่อง จนกระทั่งจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิในฌาน 1 2 3 4 5 6 7 8
คำว่า มีฌานไม่เสื่อม
ได้แก่ ไม่พูดคุย ทำให้กำลังสมาธิที่มีอยู่จะไม่เสื่อมหายไปหมดสิ้น
ที่เกิดจากการพูดคุย ให้ตั้งใจปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้
“จงเป็นผู้มีความหลีกเร้นเป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในความหลีกเร้น”
คำว่า ประกอบด้วยวิปัสสนา
ได้แก่ เวทนากล้า ไตรลักษณ์ปรากฏตามจริง
คำว่า พอกพูนสุญญาคารอยู่
ได้แก่ กำหนดผัสสะที่มีเกิดขึ้นตามจริง
ไม่นำตัวตนเข้าไปเกี่ยวข้องกับสภาวะที่มีเกิดขึ้นขณะทำกรรมฐาน
คือปราศจากตัวตน เรา เขา เข้าไปเกี่ยวข้องกับสภาวะที่มีเกิดขึ้น
๖. อากังเขยยสูตร
ว่าด้วยข้อที่พึงหวังได้ ๑๗ อย่าง
[๗๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี.
ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสพระผู้มีพระภาคว่า พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพุทธพจน์นี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีศีลอันสมบูรณ์
มีปาติโมกข์อันสมบูรณ์อยู่เถิด
จงเป็นผู้สำรวมด้วยความสำรวมในปาติโมกข์
ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจรอยู่เถิด
จงเป็นผู้มีปกติเห็นภัยในโทษทั้งหลายมีประมาณน้อย
สมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลายเถิด.
[๗๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
ขอเราพึงเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจ เป็นที่เคารพ
และเป็นผู้ควรยกย่องของเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายเถิดดังนี้
ภิกษุนั้น พึงกระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
ขอเราพึงได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขารเถิด ดังนี้
ภิกษุนั้น พึงกระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราบริโภคจีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขารของเทวดาหรือมนุษย์เหล่าใด
สักการะเหล่านั้นของเทวดาและมนุษย์เหล่านั้น พึงมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่เถิด ดังนี้
ภิกษุนั้นพึงกระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
ญาติและสาโลหิตของเราเหล่าใด ล่วงลับ ทำกาละไปแล้ว มีจิตเลื่อมใส ระลึกถึงอยู่
ความระลึกถึงด้วยจิตอันเลื่อมใสของญาติและสาโลหิตเหล่านั้น
พึงมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่เถิด ดังนี้
ภิกษุนั้นพึงกระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงเป็นผู้ข่มความไม่ยินดีและความยินดีได้
อนึ่ง ความไม่ยินดี อย่าพึงครอบงำเราได้เลย
เราพึงครอบงำย่ำยี ความไม่ยินดีอันเกิดขึ้นแล้วได้อยู่เถิด ดังนี้
ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[๗๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุพึงหวังว่า
เราพึงเป็นผู้ข่มความกลัวและความขลาดได้
อนึ่ง ความกลัวและความขลาด อย่าพึงครอบงำเราได้เลย
เราพึงครอบงำ ย่ำยี ความกลัวและความขลาดที่เกิดขึ้นแล้วได้อยู่เถิด ดังนี้
ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[๘๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงเป็นผู้ได้ฌานทั้ง ๔ อันเกิดขึ้นเพราะจิตยิ่ง
เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม ตามความปรารถนาพึงได้ไม่ยาก ไม่ลำบากเถิด ดังนี้
ภิกษุนั้น พึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[๘๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงถูกต้องด้วยกายซึ่งวิโมกข์อันก้าวล่วงรูปาวจรฌานแล้ว
เป็นธรรมไม่มีรูปสงบระงับอยู่เถิด ดังนี้
ภิกษุนั้น พึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนาพอกพูนสุญญาคาร.
[๘๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงเป็นโสดาบันเพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ ๓
พึงเป็นผู้มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงมีอันตรัสรู้เป็นเบื้องหน้าเถิด ดังนี้
ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[๘๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงเป็นพระสกทาคามี
เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ ๓
เพราะราคะ โทสะ โมหะ เป็นสภาพเบาบาง
พึงมาสู่โลกนี้เพียงครั้งเดียว แล้วพึงทำที่สุดทุกข์ได้เถิด ดังนี้
ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[๘๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงเป็นอุปปาติกสัตว์
เพราะความสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
พึงปรินิพพานในพรหมโลกนั้น มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดาเถิด ดังนี้
ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[๘๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือ
คนเดียวพึงเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนพึงเป็นคนเดียวก็ได้
ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝากำแพง ภูเขาไปได้ไม่ติดขัด
เหมือนไปในที่ว่างก็ได้ พึงผุดขึ้น ดำลง แม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้
พึงเดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้
เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้
ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ ซึ่งมีฤทธิ์ มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้
ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้เถิด ดังนี้
ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[๘๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงได้ยินเสียงทั้ง ๒ ชนิด คือ
เสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งที่อยู่ไกลและใกล้
ด้วยทิพยโสตอันบริสุทธิ์ ล่วงโสตของมนุษย์เถิด ดังนี้
ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[๘๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นด้วยใจ คือ
จิตมีราคะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะ
หรือจิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ
จิตมีโทสะ ก็รู้ว่าจิตมีโทสะ
หรือจิตปราศจากโทสะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ
จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิตมีโมหะ
หรือจิตปราศจากโมหะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ
จิตหดหู่ ก็รู้ว่าจิตหดหู่
หรือจิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน
จิตเป็นมหรคต ก็รู้ว่าจิตเป็นมหรคต
หรือจิตไม่เป็นมหรคต ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหรคต
จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า
หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า
จิตเป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ
หรือจิตไม่เป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นสมาธิ
จิตหลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น
หรือจิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้นเถิด ดังนี้
ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่างประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[๘๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ
พึงระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง
ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง
ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏกัปเป็นอันมากบ้าง
ตลอดวิวัฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏวิวัฏกัปเป็นอันมากบ้างว่า
ในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น
มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น
แม้ในภพนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น
มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เราพึงระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก
พร้อมทั้งอาการพร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้เถิด ดังนี้
ภิกษุนั้น พึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[๘๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติเลว ประณีต
มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก
ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์
พึงรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรมว่า
สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า
เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ
เมื่อตายไป เขาถึงเข้าอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้
ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า
เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ
เมื่อตายไป เขาเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้
เราพึงเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต
มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก
ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์
พึงรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมด้วยประการฉะนี้เถิด ดังนี้
ภิกษุนั้น พึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[๙๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้
เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่เถิด ดังนี้
ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
คำใดที่เรากล่าวแล้วว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย
จงเป็นผู้มีศีลอันถึงพร้อม มีปาติโมกข์อันถึงพร้อมแล้วอยู่เถิด
เธอทั้งหลายจงเป็นผู้สำรวมด้วยความสำรวมในปาติโมกข์
ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจรอยู่เถิด
เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย
สมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลายเถิด ดังนี้
คำนั้น อันเราอาศัยอำนาจประโยชน์นี้ จึงได้กล่าวแล้ว ฉะนี้แล.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว
ภิกษุเหล่านั้นมีใจชื่นชมยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาค ฉะนี้แล.
= อธิบาย =
สัมมาสมาธิเมื่อมีเกิดขึ้น ตัวสภาวะต่างๆจะดำเนินต่อเนื่องโดยตัวสภาวะของมันเอง
ดังที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมไว้ว่า
“ภิกษุเหล่านั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีลทั้งหลาย
ประกอบความสงบใจในภายใน
ไม่เหินห่างจากฌาน
ประกอบด้วยวิปัสสนา
เพิ่มพูนการอยู่เรือนว่างเปล่าเถิด”
ข้อที่ 1 พึงกระทำให้บริบูรณ์ในศีลทั้งหลาย
ได้แก่ สีลปาริสุทธิ
เริ่มจากการสดับ(การฟัง) การศึกษา สุตตะ
ข้อที่ 2 หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ได้แก่ ทำกรรมฐาน
สมถะ(ใช้คำบริกรรม มีบัญญัติเป็นอารมณ์)
วิปัสสนา(มีรูปนามเป็นอารมณ์)
เดินจงกรม ต่อด้วยการนั่ง
เมื่อจิตเป็นสมาธิ จะเป็นสัมมาสมาธิโดยอัตโนมัติ
ทำให้ไม่ต้องปรับอินทรีย์ มีแต่เพิ่มเติมให้นั่งมากขึ้น
หมายถึง เดิน 60 นั่ง 60
เมื่อนั่งครบเวลา ให้นั่งต่อไปเรื่อยๆ ไม่ต้องสนใจเรื่องเวลา
เวทนากล้าจะปรากฏ
หากเวทนากล้าไม่เกิด ถือเสียว่าได้สมาธิมีเพิ่ม คือมีแต่ได้กับได้ ไม่มีเสีย
แต่คนส่วนมากจะไม่รู้ตรงนี้ มักจะตามเวลาที่กำหนดไว้
บางคนทำตามคือหมดเวลาที่ตั้งไว้ จะนั่งต่อ เมื่อเจอเวทนากล้าปรากฏ จึงเลิกนั่ง
เกิดจากความกลัว ไม่สามารถผ่านสภาวะนี้ไปได้ สภาวะจะจมแช่อยู่แค่นี้ไม่ไปไหน
บางคนไม่ชอบเดิน จะนั่งอย่างเดียว
จะสมถะ(มีบัญญัติเป็นอารมณ์)
หรือวิปัสสนา(มีรูปนามเป็นอารมณ์)
เมื่อจิตเป็นสมาธิ ก็ต้องปรับอินทรีย์
หากไม่มีการปรับอินทรีย์ สมาธิที่มีเกิดขึ้นยังเป็นมิจฉาสมาธิ
เวลาจิตเป็นสมาธิ จะติดนิมิต ติดเรื่องแปลกๆที่มีเกิดขึ้น ไม่ก็ดิ่ง ไม่รู้สึกตัว
ข้อ 3 ไม่ทำฌานให้เหินห่าง
ได้แก่ จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิเนืองๆในฌาน 1 2 3 4 5 6 7 8
ข้อ 4 ประกอบด้วยวิปัสสนา
เวทนากล้า ไตรลักษณ์ปรากฏตามจริง
ข้อ 5 พอกพูนสุญญาคาร
กำหนดผัสสะที่มีเกิดขึ้นตามจริง
ไม่นำตัวตนเข้าไปเกี่ยวข้องกับสภาวะที่มีเกิดขึ้นขณะทำกรรมฐาน
คือปราศจากตัวตน เรา เขา เข้าไปเกี่ยวข้องกับสภาวะที่มีเกิดขึ้น