สูญเสียที่ไม่ใช่ความสูญเสีย

 
                           สภาวะเปลี่ยนทุกครั้งจะมีตัวรู้เกิดขึ้นทุกๆครั้ง  จากเหตุการณ์สภาวะเบื่อที่เกิดขึ้นมาหลายวัน มีเมื่อวานออกอาการรุนแรงมากเนื่องจากทุกขเวทนาที่เกิดทางกายด้วย สติเลยไม่ทัน  เหตุนี้ทำให้เราเห็นความจริงอย่างหนึ่งว่า เรื่องการสูญเสียสมาธิไปหมดของเรานั้น เราคิดว่า เราวางมันลงไปได้แล้ว จริงๆแล้วไม่ใช่ มันแค่หายไปเป็นบางขณะที่สติมันทัน  เพราะพอเราฟุ้งสติเราไม่ทัน อย่างสภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อวาน สติเราเอาไม่อยู่ มันไม่ทัน ทำให้เราหวนไปคิดถึงตอนที่เราเคยมีสมาธิ   ทำให้เราไปเกาะเกี่ยวอารมณ์ความรู้สึกตรงนั้นกลับคืนมาอีกชั่วขณะหนึ่ง  ความอาวรณ์ว่าเคยมีที่พักจากความทุกข์ที่เกิดจากสติไม่ทัน อย่างน้อยยังมีที่พักจากการปะทะไปได้ชั่วคราว 
 
                          สุดท้ายมันกลับไปปรุงที่ความรู้สึกเก่าๆทันที ว่าเมื่อมันไม่มีสมาธิแล้ว ตอนนี้เรามีแต่สติเพียวๆช่วยเหลือตัวเอง กำหนดรู้ลงไปให้เท่าทันต่อสิ่งที่มากระทบ  ก็ใช่ว่าจะทันไปสะทั้งหมด ดูจากเมื่อวาน พอมันเล่นสองทาง  เราไม่ทันจริงๆ  มันปรุง มันทุกข์ มันบีบคั้น มันทรมาณ  แต่สิ่งที่เห้นได้ชัดคือ ใจเราไม่ไปเกาะเกี่ยวกับเรื่องของเขาคนนั้น คนที่ถ่ายเทสมาธิเราไปหมด  ใจไม่นึกถึงเขาเลย แล้วก็ไม่กล่าวโทษหรือเพ่งโทษใดๆกับเขา  นี่มานึกถึงตอนที่เขียนบันทึกนี่แหละ   เพียงแต่คิดถึงเรื่องของสมาธิสะมากกว่า    วันนี้สภาวะเบื่อเริ่มผ่อนคลายลงไป  เนื่องจากทุกขเวทนาทางกายหายไปแล้ว   สติเลยทันเจ้าความเบื่อ มันเลยแค่แผ่วๆอยู่ลึกๆในใจ  แค่รู้ แต่มันไม่ออกมาแผงฤทธ์อีก 
 
                          ที่บอกว่าสูญเสียแต่ไม่ใช่ความสูญเสียคือ บางทีเราคิดว่าเราสูญเสียจริงๆแล้วมันเป็นเพียงแค่ความคิดของเรา  เมื่อผลที่เราได้รับจากการกระทำนั้น ทำให้เราผิดหวัง   ทุกอย่างมันมีเหตุ มันคือสภาวะอีกหนึ่งสภาวะที่เกิดขึ้นพร้อมๆกับการชดใช้ในสิ่งที่เคยติดค้างเขาคนนั้นไว้ในอดีตซึ่งไม่รู้แต่ชาติไหนๆ  ถือว่าชดใช้กันไป  ไม่มีติดค้างอะไรกันอีกแล้ว  หากเราไม่ได้มาเจริญสติปัฏฐาน  เราคงจะไม่ใช่แค่โกรธเขาแค่ในตอนแรกเท่านั้น  แต่ความโกรธผสมกับความที่คิดว่าสูญเสียอาจจะกลายเป็นความพยาบาทต่อเขา เลยกลับกลายเป็นการสร้างภพชาติใหม่ขึ้นมากับเขาอีก  เวรย่อมระงับได้ด้วยการไม่จองเวร  เมื่อเราเข้าใจถึงเหตุที่กระทำ และผลที่ต้องได้รับ ใจเรามันจึงยอม   ยอมที่ชดใช้โดยไม่ไปตอบโต้ใดๆทั้งสิ้น  ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนไม่ได้เลยนะ  นั่น  .. ถ้าเราทำแบบนั้น  น่ากลัวนะ  น่ากลัวภพชาติที่เกิดขึ้นมาใหม่เพราะการกระทำที่ขาดสติของเรา   เพราะความไม่รู้  จึงต้องทำให้เวียนวนไม่รู้จักจบสิ้น  
 
                        จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้เราได้เรียนรู้สภาวะของการไม่มีสมาธิ  แต่เป็นเรื่องของการเจริญสติล้วนๆ  ทำให้เห็นข้อแตกต่างในเรื่องการกำหนดระหว่างที่มีสมาธิร่วมกับสติ   และการกำหนดโดยมีสติล้วนๆ   ความไวในการดับมันจะแตกต่างกันมากๆ   แต่การทรงอยู่โดยสภาวะก็แตกต่างกันเหมือนกัน   นี่คืออีกหนึ่งบทเรียนที่ได้เรียนรู้จากสภาวะของการไม่มีสมาธิประกอบในการกำหนด  ทำให้เห็นความสำคัญของ สติ สัมปชัญญะมากขึ้น
 
                        อีกบทเรียนหนึ่งคือ การทานอาหารแต่พอประมาณ โดยไม่มากเกินไป และไม่น้อยเกินไป  ตรงนี้เหตุสืบเนื่องจากการเจริญสติในการทานอาหารโดยใช้ตะเกียบด้วย  คือ เมื่อก่อนจะเป้นคนทานจุ อ้วนง่าย  เลยทำให้มีปัญหากับการปฏิบัติพอสมควรคือ ความง่วง เมื่อทานอิ่มมากเกินไป  จะเกิดอาการอึดอัดแน่น  สุดท้ายคือ ง่วงนอน  พอหันมาใช้ตะเกียบ  ผลคือ พฤติกรรมด้านการทานอาหารเปลี่ยนแปลงไป   ทานข้าวน้อยลง คือ แค่พออิ่ม  นน.เริ่มคงที่  ความง่วงไม่เกิดง่ายเหมือนเมื่อก่อน  เมื่อวานที่เกิดปัญหาคือ ทานมากเกินไป เนื่องจากเจอกับข้าวถูกปาก  ปกติจะทานข้าวได้อย่างมากคือหลุมเล็กๆ 1 หลุม ถ้ามากกว่านั้นถือว่ามากเกินไป  เมื่อวานทานไป 2 ชามเล็กๆในมือเช้า  แถมตามด้วยปลาโก๋อีก 8 คู่จิ้มกับสังขยา  ผลคือ เกิดทุกขเวทนาสุดๆ ปวดท้องมากๆ ทรมาณ  ต้องนั่งจับพองยุบจนหลับไปหลายชม.เหมือนกัน พอลืมตาขึ้นมาอาการปวดท้องยังคงอยู่  วันนั้นทานได้แค่มื้อเช้ามื้อเดียว มื้ออื่นๆเลยไม่ได้ทานอีกเลย   เมื่อสภาวะเบื่อมีนพุ่งขึ้นมาสติเลยเอาไม่อยู่ เพราะมันประดังมาสองทาง   วันนี้เลยทานแค่พอประมาณ  ทำให้ร่างกายกลับมาปกติ  ความเบื่อเบาบางลงไปแฝงอยู่ลึกๆเหมือนเดิม ยังสัมผัสได้  ส่วนการปฏิบัตินั้นคือ ทำได้ปกติ 2 รอบในวันนี้  และนั่งจับพองยุบไปอีก 2 ชม.  เริ่มมีสมาธิเล็กๆเกิดขึ้นบ้าง แต่ยังต้องใช้วิธีกสิณลมอยู่ ยังใช้ลมหายใจแบบปกติยังไม่ได้ 
 
                       อาศัยกลางคืน เวลานอน จับพองยุบทั้งคืน รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง  แต่เริ่มหลับได้สนิทเป็นช่วงๆ ดีกว่าแรกๆที่นอนไม่หลับเลย  

เต่าในกระดอง

 
                 วิวิตฺตํ  อปฺปนิคฺโฆส  พาลมิคนิเสวิตํ  เสเว  เสนาสนํ  ภิกฺขุ  ปฏิสลฺลาน การณา
 
                      นักปฏิบัติธรรมพึงอยู่ในเสนาสนะอันสงัด ปราศจากเสียงกึกก้องเป็นที่อยู่อาศัยแห่งพาล มฤค ทั้งหลาย เพราะมุ่งหมายจะหลีกเร้นอยู่ในที่อันสงัด เพื่อรีบรัดปฏิบัติให้ได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน โดยเร็วพลัน
 
                    
กุมฺโม  องฺคานิ  สเกกปาเล  สโมทหํ  ภิกฺขุ  มโน  วิตกฺ เก  อนิสฺสิโต  อญฺญมญฺญวิเหฐยมาโน ปรินิพฺพุโต  นูปวาทเยย  กญฺจิ
 
                      พระโยคี ผู้เจริญวิปัสสนากรรมฐานอยู่ พึงรักษาใจเอาไว้ให้ดี มิให้ตกไปในวิตก ไม่ติดอยู่ด้วยตัณหา มานะ ทิฏฐิ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น  ดับกิเลสรอบโดยด้าน  ไม่กล่าวค้าน และค่อนขอดติเตียนใดๆ ปานดังเต่าใหญ่รักษาตัวหดหัวและเท้าอยู่ในกระดองของตน จนรอดพ้นอันตราย
 
                          ฉะนั้นผู้ปฏิบัติ เมื่ออารมณ์มากระทบทางประตูต่างๆ เช่น รูปมากระทบทางตา เสียงมากระทบทางหู คือกระทบอายตนะไม่ว่าจะทางไหนๆก็แล้วแต่  ไม่หนี ไม่สู้ ไม่อยู่ ไม่ไป ให้อยู่ในกระดองคือ สติปัฏฐาน 4 มีความเพียร มีสติ มีสัมปชัญญะ รักษาสมณธรรมเอาไว้ให้ดี
 
จากหนังสือ วิปัสสนากรรมฐาน  ภาค 1 เล่ม 1  หลวงพ่อโชดก 

สภาวะนี้ไม่ชอบเลยจริงๆ

 
                            สภาวะเบื่อนี่สุดยอดเลยนะ เราไม่ชอบจริงๆเลย  จิตที่มีกิเลสมันถูกขุด ถูกขุดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขุดอยู่อย่างนั้น นานเท่าไหร่แล้วที่ต้องมาเวียนวนอยู่แบบนี้  ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็แล้วแต่จะเกิดซ้ำซาก กิเลส เจอแต่กิเลส ตัวนี้ดับ ตัวโน้นโผล่ บางทีเบื่อนะ เบื่อที่จะดูมัน เบื่อมากๆ ซ้ำซากเป็นบ้าเลย ทุกข์ใจเป็นบ้าเลย  แต่ไม่รู้ว่ามันทุกข์อะไร  มันรู้แต่ว่าทุกข์อยู่ข้างในลึกๆ แม้แต่หายใจยังทุกข์เลย  เอากับเขาสิ เวลาสภาวะนี้เกิดทีไร เป็นแบบนี้ทุกทีเลย

 
                           เหวยๆๆๆๆๆ   ยิ่งไม่มีสมาธินี่มันรู้สึกทรมาณโคดๆเลย  ทรมาณมากๆ  ไม่มีสมาธิไม่รู้จะหาที่หลบได้ที่ไหน  ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาแต่เช้าแล้ว สภาวะมันพุ่งขึ้นมาเลย  มันกรุ่นๆในใจลึกๆมาหลายวันแล้ว แต่มันยังไม่แสดงอาการออกมา วันนี้มันโผล่ออกมาเต็มๆเลย  เล่นเราทั้งวันเลยวันนี้ เดินจงกรมก็แล้ว นั่งจับพองยุบก็แล้ว  เอามันไม่อยู่ มันแรงมาก  ที่เอาไม่อยู่ อาจเนื่องจากเวทนาที่เกิดขึ้นร่วมด้วย ปวดท้อง เมื่อเช้ากินข้าวมากเกินไป กระเพาะมันไม่รับ  เลยทำให้ปวดท้องทั้งวัน  วันนี้กินอะไรไม่ได้เลย  …
 
                          ก็พยายามหาโน่นหานี่ทำ เพื่อให้จิตมันสงบลง  เฝ้าดูมัน ความเบื่อ  แต่รอบนี้มันมาหนักกว่าทุกครั้ง  เพราะทุกครั้งเรายังมีทั้งสติ และสมาธิรับมือ  แต่เที่ยวนี้มันมีแต่สติ  เลยเอามันไม่อยู่  ขนาดเห็นตู้  มันยังเบื่อเลย เอากะมันสิ  รู้สึกทรมาณมากๆ  เหมือนที่ครูบาฯท่านพูดเลย  เวลาอาการนี้มันมา มันเหมือนคนไม่มีที่จะอยู่เลยนะ ท่านต้องไปนั่งมองแม่น้ำ มองต้นไม้  ท่านไม่คุยกับใครๆเลย  …
 
 
                           สมาธิ … จะอีกนานมั๊ยหนอ  ที่เราจะกลับมามาสมาธิเหมือนเดิม  ทุกวันนี้พยายามทำกสิณลมอยู่นะ  แต่สมาธิมันมีน้อยมาก มันยังไม่มีกำลังที่จะนำมาใช้ประโยชน์อะไรได้เลย    เบื่อมากกกกกกก

ทุกสรรพสิ่งล้วนไม่เที่ยง

 
                           มองอะไรๆมันเห็นแต่ความไม่เที่ยง  ในส่วนลึกของจิตยังมีความเบื่อหน่ายซ่อนอยู่ลึกๆ  การเกาะเกี่ยวข้างนอกน้อยลง สภาวะทบทวนด้วยตัวสภาวะเองตลอดเวลา อะไรมากระทบแค่ดูมากขึ้น  แตกต่างจากเมื่อก่อน ซึ่งยังมีความชอบใจ ความไม่ชอบใจเยอะ  เวลาอะไรมากระทบ สิ่งๆนั้นที่เรามีอคติอยู่ มันจะส่งผลไว เดี๋วนี้ไม่ มันแค่ดู  คนส่วนมากชอบเพ่งโทษนอกตัว มากกว่าเพ่งโทษตัวเอง  เราเคยเป็นมาก่อนย่อมเข้าใจสภาวะนั้นดี  เพราะอยู่ที่ว่ามีอคติมากน้อยแค่ไหน  ตัดสินเอาตามคิดของแต่ละคน หาใช่ตามความเป็นจริงไม่ วิบากกรรมมันถึงไม่รู้จักจบสิ้น
 
                          การที่กล่าวว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้น คนโน้นเป็นอย่างนี้ เราล้วนแต่เอาความคิดมาตัดสินกันทั้งสิ้น ความชอบ ความชังเข้าแทรกแซง  จากเหตุการณ์ที่เข้าไปข้องเกี่ยวเรื่องชาวบ้านครั้งที่ผ่านมา  วิบากส่งผล ไม่โกรธนะ เพราะเราผิดเอง  ไปพูดถึงเขาก่อน ทั้งๆที่เป้นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา  ทั้งที่ข้อความนั้นไม่ได้เขียนให้ใครๆอ่าน แต่ข้อความดันแพร่กระจายไปถึงบุคคลภายนอกได้  ก็ดีนะ ทำให้ตัดฉับเลย  ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน มาคนเดียว ไปคนเดียว มีสติ สัมปชัญญะเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งทั้งทางโลกและทางธรรม นอกนั้นเราไปหวังพึ่งอะไรไม่ได้เลย
 
                         เดี๋ยวนี้ทุกอย่างจบด้วยตัวของสภาวะเอง  เราเลิกไปข้องเกี่ยวมานานแล้ว ปล่อยเลยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นตามความเป็นจริง  ใครจะว่า ใครจะด่า ปล่อย ใครจะทำอะไร ปล่อย  มีแต่สติรู้อยู่ทุกๆครั้งที่เกิดการกระทบ  เอาจิตไปเกาะเกี่ยวเราก็ทุกข์ ไปให้ความสำคัญเราก็ทุกข์ แม้แต่ตัวเราเองยังไม่ให้ความสำคัญเลย  ให้ความสำคัญแล้วมันจะเกิดอคติง่าย ชอบคิดเข้าข้างตัวเอง  เอาความชอบ ชัง เป็นตัวตัดสิน
 
                        แม้แต่แนวทางการปฏิบัตินี่ก็เหมือนกัน คนมาอ่านก็ชอบยัดเยียดกันจังเลย ยัดเยียดมานะกิเลสให้กับเรา หาว่าเราสอนธรรม  สอนตรงไหนหว่า เราก็มองนะ เราไปสอนตรงไหน  เราไม่เคยไปบอกกับคนที่มาขอคำแนะนำกับเราเลยว่า เขาต้องทำแบบนั้น ต้องทำแบบนี้นะ ต้องหันซ้าย ต้องหันขวาตามที่เราบอก  ต้องอย่างโน้น ต้องอย่างนี้  …
 
                        เราไม่เคยทำนะแบบนั้น  ไม่มีเลย  กล้าพูดได้เต็มปากว่า เราไม่เคยสอนใคร  ไม่เคยตั้งตัวเป็นอาจารย์  คำว่า อาจารย์เวลาใครๆมาเรียกเรา  เราฟังแล้วขนหัวลุกนะ ใหม่ๆน่ะ  กลัวมานะกิเลสมากๆ  เจ้ามานะกิเลสมันน่ากลัวมากกว่าจะให้ใครๆมานับถือเป็นอาจารย์นะ  แต่คนเวลาเข้ามาอ่านก็ชอบยัดเยียดกันจังเลย  อย่ามายัดเยียดมานะกิเลสให้กับเราสะให้ยากเลย  ใครชอบสอนคนอื่นๆจนคิดว่าใครๆอาจจะเหมือนตัวเอง เปลี่ยนมุมมองใหม่สะนะ  อย่าเอากิเลสของตัวเองเข้าไปรุงแต่งให้กับคนอื่นๆเขา มันเป็นกรรมนะจ๊ะ  เดี๋ยวจะมาพูดว่า ทำไมไม่บอกกันมั่งเลย  ของเราน่ะที่เห้นพูดๆแนวทางการปฏิบัติทุกวันนี้ เรียกว่า มาแนะนำช่วยเหลือเกื้อกูลกันทางธรรม …
 
                       อ่านไปเรื่อยๆนะ คนที่มาขอคำแนะนำน่ะ เขาทั้งหลายล้วนเลือกรูปแบบแนวทาง ปรับเปลี่ยนเป็นของตัวเขาเอง  สุดแต่ว่าใครเขาถนัดแบบไหน เราไม่เคยไปยัดเยียดรูปแบบให้กับเขา  เขาเลือกแนวทางของเขากันเอง  ตามสภาวะของเขาเอง  เราน่ะเคยผ่านเส้นทางที่เขากำลังเดิน เราเป็นเหมือนพี่เลี้ยงของคนเหล่านั้น  มาบอกเล่าเรื่องราวสภาวะให้เขาฟัง  ไม่ใช่บัญญัตินะคะจะได้มานั่งท่องจำกัน  สภาวะจะพบเห็นตามความเป็นจริงได้ต้องลงมือทำหรือที่เรียกว่าปฏิบัตินั่นแหละค่ะ  ท่องจำเอามาใช้ไม่ได้นะคะ  ตัววัดผล คือ สติ สัมปชัญญะค่ะ  รู้รูปนาม การถ่ายถอนอุปทานต่อสิ่งที่เรายึดมั่นถือมั่นเอาไว้  มันย่อมเบาบางลงไปเรื่อยๆ  อัตตาตัวตน ตัวกู ของกู มันย่อมลดลงไปเรื่อยๆ  …
 
                     การที่ใครเชื่อใคร เขาเหล่านั้นล้วนเคยสร้างเหตุด้วยกันมาก่อนทั้งสิ้น ไม่มีเรื่องบังเอิญในโลกใบนี้หรอกค่ะ  เป็นไปตามวิบากกรรมที่เคยกระทำร่วมกันมา  บางคนบอกว่าเดี๋ยวหลงทาง  ไปคิดทำไมอนาคต  บางคนบอกว่ากลัวเสียเวลา ไม่ทำเพราะกลัวหลงทาง  งั้นก็ขอถามว่าแล้วเมื่อไหร่ถึงจะลงมือทำกันล่ะ  เอาอะไรมาวัดว่าหลงทางหรือไม่หลงทาง  มีแต่หลงตัวเองกันล่ะไม่ว่า  หลงยึดไง  ยึดมั่นถือมั่นตามความคิดของตัวเอง  เอาอะไรมาวัดว่าถูกหรือผิด มีแต่ความคิดทั้งนั้น  ทำไปก่อนสิ ทำไปพร้อมๆกับพิจรณา ดูไปด้วย ทำแล้วมีสติไหม ทันต่อสิ่งที่มากระทบไหม เห็นกิเลสไหมระยิบระยับเลยน่ะ  ไม่ใช่สมาธินะ  สมาธิไม่ใช่ตัววัดผล  สติ สัมปชัญญะต่างหากที่เป็นตัววัดผล   การเจริญสติปัฏฐาน 4 นี่แหละ ให้มันจบในกายและจิต ไมไช่ไปรู้นอกตัว   ไปเห็นโน่นเห็นนี่  ไปรู้เรื่องชาวบ้าน  รู้ไปหมด  แต่ที่ไม่รู้คือ รู้ตัวเอง
 
                   ปฏิบัติจะได้ผล  การใช้เวลาของแต่ละคนแตกต่างกันไป ตามเหตุที่เคยกระทำกันมาทั้งในอดีตและในปัจจุบันที่กำลังสร้างขึ้นมาด้วย  กุศลแต่ละคนสร้างสั่งสมมาไม่เท่ากัน  รู้นั้นๆจึงแตกต่างกันไป  การกระทำทุกๆอย่าง ล้วนส่งผลต่อการปฏิบัติ  ฉะนั้นพึงสังวร สำรวมระวังอายตนะให้ดี  ทำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ข้อควรระวังในการถ่ายเทสมาธิ

 
                           ชีวิตคนเรามีเท่านี้เอง กำหนดรู้ให้ทันปัจจุบัน นอกนั้นไม่มีอะไรเลยจริงๆ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเหตุที่เราเคยกระทำมาทั้งนั้น  ทุกๆสิ่งที่มากระทบขอเพียงให้เรามีสติรู้อยู่ รู้ทันกับสิ่งที่มากระทบ ให้รู้ว่าสิ่งนั้นคือกิเลสของคนอื่น ถ้าเราสติไม่ทัน จะกลายเป้นว่าเราไปเอากิเลสของคนอื่นมาเป็นกิเลสของตัวเราเองไปทันที  แล้วถ้ายังไม่ทันอีกหลงไปปรุงแต่งกิเลสนั้น กลายเป็นว่า  เราก่อมโนกรรมให้เกิดขึ้นแล้ว  แถมถ้าลงมือกระทำคือตอบโต้เขาออกไป นั่นคือ เรากำลังก่อภพก่อชาติใหม่ให้เกิดขึ้นอีกแล้ว  มันมีแค่นี้เองนะชีวิต  เลยทำให้เราเกิดความเบื่อหน่าย    เมื่อก่อนไม่ค่อยเข้าใจสภาวะนี้เท่าไรนัก  ว่าทำไมเราชอบมีอาการเบื่อหน่ายอยู่เรื่อยๆ ทั้งๆที่ชีวิตเรานี้มันไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรเลย  เราเบื่อภพเบื่อชาติ  ก็ดูสิหลายๆคนบ่นว่าทุกข์กัน  แต่ก้ยังไม่หยุดสร้างทุกข์ให้เกิดกับตัวเองด้วยความไม่รู้  ภพชาติเลยเกิดไม่รู้จบเพราะแบบนี้แหละ  แทนที่มันจะสั้นลง 
 
                           อย่างสภาวะที่เพิ่งผ่านมาครั้งนี้  เราปล่อยเลยนะ  ปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นตามความเป็นจริง ไม่ไปคิดแก้ไข ไม่ไปแก้ตัวกับใครๆทั้งสิ้น  เราแค่ไประบายในที่ส่วนตัวของเราอีกที่หนึ่ง  แต่วิบากกรรมอ่ะนะ  ตรงนั้นน่ะคนภายนอกแทบจะไม่รู้เลย  คนที่มีวิบากกรรมร่วมกับเราดันเลือกเข้าไปที่บล็อกนั้น แทนที่จะเป็นบล็อกนี้   ใครจะเข้าใจอะไรยังไงเรื่องของเขา  เราไม่ไปปะทะด้วย ไม่ไปตอบโต้ใดๆทั้งสิ้น  สุดท้ายสภาวะมันจะสิ้นสุดไปเอง  เรามีวิบากกรรมร่วมกับคนๆนี้ในเรื่องของสมาธิ  ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติมาแล้วนะที่เราและเขาต้องผลัดกันเป็นแบบนี้มาไม่รู้กี่ชาติ  จากความโกรธกลายเป็นความพยาบาทแฝงอยู่โดยไม่รู้ตัว  เลยกลายเป็นก่อภพก่อชาติใหม่สลับกันไปมาไม่รู้จบ เพราะเขายังไม่เข้าใจในเรื่องของสภาวะที่เขาเจอ  เขาไปเอาบุคคลที่ 3 และที่เท่าไหร่อีกไม่รู้กระจายออกไปปากต่อปาก  สภาวะวิบากกรรมนี้ของเขาเปลี่ยนรูปแบบไปแล้ว  แทนที่จะจบลงแค่กับเราตามสภาวะที่ควรจะเป็น  เพราะเขาคิดแก้ไข  สภาวะเขาเลยเปลี่ยนไปโดยอัตโนมัติ  เราน่ะเจอกับตัวเองมาแล้ว  เราเข้าใจดีว่ามันเป็นยังไง  ทั้งๆที่การคิดแก้ไขของเราครั้งนั้น เราไม่ได้คิดร้ายอะไรเลยสักนิด  แต่เราไม่รู้งัยว่ามันเป็นกรรมระหว่างเรากับเขาคนนั้นต้องมาชดใช้กัน  นั่นแหละสภาวะที่เราเคยเจอกับตัวเองมาแล้ว  ถึงเข้าใจสภาวะและไม่คิดจะแก้ไขอะไรๆอีกเลย  ไม่เอาแล้วเล่นเอวเราแย่สุดๆ  ส่วนตัวเขาเอง เรามองแค่ว่าวิบากกรรม  เอาไว้เขาเข้าใจเรื่องสภาวะเมื่อไหร่  เขาจะเข้าใจเองว่าทำไมเราถึงไม่ทำอะไรเลยสักอย่างเดียว  เอาเพียงมีสติรู้อยู่ ยอมรับมัน ไม่ว่าใครจะพูดจะว่าอะไร ยอมรับตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นทุกอย่าง  เพราะเราเข้าใจแล้ว ไม่อยากก่อภพก่อชาติใหม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปแล้ว  
 
                         มีคนไปหาข้อมูลเรื่องการดูดสมาธิ แล้วมาเล่าให้ฟัง เรื่องพวกออร่า  การถ่ายเทสมาธิมีมานานแล้ว  แต่มันไม่เป็นข่าวดัง  จะรู้แค่ในกลุ่มคนพวกถ่ายเทสมาธิกัน  พวกนี้เขาจะดุว่าใครมีกำลังของสมาธิมาก เขาจะถ่ายเทสมาธิของคนๆนั้นมา  แต่เขาอ้างว่า ผู้ถูกถ่ายเทจะไม่มีผลข้องเคียงและไม่มีอาการผิดปกติอะไร   เหมือนที่เราเคยโดนกลุ่มคน และคนอื่นๆที่เขามาถ่ายเทสมาธิเราไป  แรกๆเราวิตกกังวลมากๆเลยชาวงนั้น เพราะไม่เคยได้ยินหรือเคยรู้เรื่องเหล่านี้มาก่อน  พวกนี้เขาจะมีวิการของเขา  ครั้งนั้นโดนทางโทรฯ เขาจะทำเป็นทีม  เราก็ถามว่าทำไมทำกันแบบนี้ แต่จะมีคนหนึ่งเป็นผู้หญิงในกลุ่ม เขาบอกว่า ไม่เป้นไร เขาเองก็เคยตกใจแบบเรานี่แหละ  ถือว่าสร้างกุศลช่วยให้คนอื่นๆมีกำลังสมาธิที่แข็งแรงขึ้น  ผลของวันนั้นคือ เราอ่อนเพลียมากๆ  เราพักฟื้น 2 วันเต็มๆ  คือ ทำสมาธิเพิ่มมากขึ้น  มันก็ไม่มีอันตรายจริงๆ  และหลังจากพักฟื้นร่างกายแล้ว  ก็ปกติดีไม่มีอะไร
 
                       ต่อมาได้เจอกับเขา  เราเป้นกัลยาณมิตรกัน  ซึ่งเขาก็เหมือนกับคนอื่นๆที่เราเคยเจอ  เขาสามารถถ่ายเทสมาธิจากคนอื่นๆได้  เขาขอสมาธิเรา  เราก็ให้  ช่วงนั้นเรามีปัญหาสมาธิมันมากเกินไป จนเรามีอาการมึนหัวตลอดเวลา  อะไรที่มันมากเกินไปมันก็ไม่ดี  เราให้เขาถ่ายเทได้  โดยเรากับเขาต่างก็คิดเหมือนๆกันว่า เดี๋ยวพักฟื้น สมาธิก็จะกลับคืนมาเหมือนเดิมได้  ..
 
                      แรกๆก็ปกติดี  เราถ่ายเทกันทางโทรฯ เหมือนที่คนอื่นๆทำกับเราน่ะแหละ คือคุยกันไปเรื่อยๆ สมาธิก็จะไหลไปหาเขาเอง  เรื่องพวกนี้ถ้าใครไม่เจอกับตัวเองจะไม่มีวันเชื่ออย่างเด็ดขาดเลยนะ  เราให้เขาเกือบทุกวัน วันละ 2- 4 ชม. คือเขาเป็นคนคุยๆได้เรื่อยๆ  เรื่องงานเขาบ้าง เรื่องโน้นเรื่องนี้  ก็จะเป็นอย่างนี้เกือบทุกวัน  มาพักหลังๆสมาธิเราแผ่วลงไปเรื่อยๆ เราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก  คิดว่าไม่มีอะไร  ต่อมาก่อนที่จะหมางใจกัน  บางครั้งก็มีเรื่องไม่ถูกใจ  มันก็เรื่องธรรมดานะ เรายังเป็นคนธรรมดานี่ เขาเองก็เหมือนกัน เพียงแต่เราจะชอบเก็บ  ไม่ค่อยพูด  แต่จะมาเขียนระบายแทน  คือ กลัววิบากกรรม  ซึ่งหลายครั้งต่อหลายครั้งที่เราไม่พอใจเขา  จริงๆแล้วเขาเป็นคนดีไม่ใช่ว่าเขาไม่ใช่คนดี เพียงแต่เราอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับสิ่งที่เขาชอบกระทำแบบนั้น  แล้วไม่เคยถามด้วยว่าทำไมเขาต้องทำแบบนั้นกับเรา  จนกระทั่งมีเรื่องของบุคคลที่ 3 ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง มาครั้งนี้เราไม่พอใจในสิ่งที่เขาทำ ซึ่งฟังเขาพูดแล้ว เขาคิดว่าเขาทำไปด้วยความหวังดี  แต่ที่เราโกรธเขามากๆคือ วันที่เรารู้ว่า สมาธิเราไม่เหลือเลย แม้แต่สักนิดเดียว  นิดเดียวก็ไม่มีจริงๆ  แต่โกรธยังไงเราก็ไม่ไปว่าเขา เพราะเรารู้ว่าทุกๆสิ่งที่มันเกิดขึ้นคือสภาวะ  การที่เราคิดจะพูดหรือทำอะไรลงไป นั่นคือเรากำลังไปเปลี่ยนแปลงสภาวะ  ทุกอย่างมันมีเหตุมาก่อน  ผลเลยเป็นเช่นนี้  เราปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นตามความเป็นจริง  เพราะเราเชื่อว่าเดี๋ยวมันก็จบไปตามสภาวะเอง  ตอนนั้นยังไม่เข้าใจนะว่า สมาธิเราทำไมเป็นอย่างนั้น  แต่เราเชื่อว่ามันเป็นวิบากกรรมระหว่างเขากับเรา
 
                    จะไม่ให้พูดว่าวิบากกรรมได้ไง  คิดดูละกัน  เราเคยบอกกับเขาเองว่า บล็อกเราเขาสามารถเข้าอ่านทางกูเกิ้ลได้  แค่เขาเอาชื่อ นามสกุลเราหาก็เจอแล้ว  แต่เราดันลืมไปจริงๆว่ามันมีสองบล็อก  บล็อกอิสระคือบล็อกนี้ และบล็อกส่วนตัวคือบล็อกโน้น ซึ่งคนอื่นๆจะเข้าไปไม่ได้  เราถึงบอกว่า วิบากกรรมจริงๆ  เขาดันเข้าผิดบล็อกก็ไปเจอน่ะสิ ที่เราเขียนระบายไว้ เรากำลังโกรธน่ะ  เราไม่ได้เขียนชื่อจริงของเขา  เราก็ระวังไม่ใช่ไม่ระวัง กลัวคนอื่นๆเข้าใจเขาผิด  เพราะชื่อเขาเองก็หาในกูเกิ้ลได้  เหตุมันจะเกิดมันก้ต้องเกิด  เท่านั้นยังไม่พอ  เขายังเอาบุคคลที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้องอีก  พอเรารู้ว่ามีบุคคลที่ 3 เข้ามาเกี่ยวในเรื่องนี้ เราตกใจนะ  ไม่ได้กลัวบุคคลที่ 3 ว่าจะเอาเราไปพูดอะไรหรอก  เพราะเขาอยากจะพูดอะไรก็เรื่องของเขา  เขาจะมารู้เรื่องระหว่างเราสองคนดีกว่าไปได้ยังไง  เขาพูดอะไรไปนั่นคือเหตุที่เขาสร้างขึ้นมาใหม่ เขาย่อมรับผลเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา  ที่เราตกใจคือ  เรารู้ว่า เขานั้นได้ไปเปลี่ยนแปลงสภาวะไปเสียแล้ว  แทนที่สภาวะมันจะดำเนินไปตามที่มันควรจะเป็น เขาไปคิดแก้ไขมัน  เรารู้รสชาติดี สภาวะที่เปลี่ยนไปนั้นจะโดนหนักกว่าเดิมที่เขาจะต้องโดน  เพราะเราโดนมาแล้ว  เราถึงไม่คิดทำอะไรทั้งสิ้น ไม่ตอบโต้ ไม่ชี้แจง  เงียบ  แต่มาระบายออกทางการเขียนแทน  แต่เราอโหสิกรรมให้กับทุกๆคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องในเหตุการครั้งนี้  ส่วนใครจะสร้างเหตุเพิ่มมากขึ้นหรือน้อยเกี่ยวกับเรา  อันนั้นเขาได้รับผลเอง   ส่วนคนบางคนที่เราดันไปเอ่ยถึงเขา เขาว่ามาก็ไม่เป็นไร ชดใช้เขาไป  เพราะถ้าสาวไปถึงต้นตอ จะมีคนเดือดร้อน  เราบอกแล้ว เรื่องอะไรต่างๆเราไม่พูดหรอก  ใครจะคิดหรือจะว่าอะไรก็เรื่องของเขา  ให้เขาทำกับเรา ดีกว่าเราไปทำเขาหรือไปตอบโต้เขา  แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก  แต่ภพชาติใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น มันน่ากลัวกว่ามากๆ   ภพชาติที่ไม่รู้จบ 
 
                    ตรงนี้จบไปแล้วสภาวะของเรา  เรื่องราวระหว่างเรากับเขา  สร้างเหตุมาด้วยกันเพราะความไม่รู้  เรายังคงเชื่อใจเขานะว่าเขาเองก็ไม่รู้เหมือนๆกับเรา  ว่าถ้าสมาธิถูกถ่ายเทออกไปให้อีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง ถ้าของใหม่ทำไม่ทัน มันมีวันหมด ถ่ายเทนานสะด้วยครั้งละ 2- 4 ชม. เกือบทุกวัน เราเต็มใจให้เขานะ  แต่ว่าเพราะความไม่รู้สะมากกว่า สมาธิที่ไหนมันจะผลิตทันล่ะ  ก็เลยมีผลต่อการปฏิบัติของเรา  เราแย่มากๆเลย พอไม่มีสมาธิหล่อเลี้ยงจิตน่ะ ปกติจิตเราจะเป็นสมาธิได้ตลอดเวลา  ตอนไหนเวลาไหนก็ได้ที่เราต้องการ  นี่มันไม่มีเหลือเลย  บทเรียนแรกที่เราได้รู้จักคือ ความฟุ้งซ่าน  มันทรมาณมากๆเลยนะ  เวลาอะไรมากระทบนี่สติเพียวๆเลย  แต่ก็มีผลทำให้เราเห็นตามความเป็นจริงมากขึ้น  เข้าใจอะไรมากขึ้น
 
                   สภาวะผ่านไปแล้ว เราไม่คิดแก้ไขอะไรทั้งสิ้น  เพียงตั้งสติรับผลกระทบที่ตามมา  แต่ไม่ไปติดใจอะไร เพียงสภาวะตรงนี้เป็นบทเรียนสำหรับเราและสำหรับคนหลายๆคนที่ยังมีคนอีกมากมายที่ไม่รู้ว่าการถ่ายเทสมาธินั้นมีจริง  เขาจะได้ระวังตัวกัน  สมาธิเราน่ะให้คนอื่นๆได้แต่ต้องมีลิมิต ไม่ใช่ให้แบบไม่จำกัดเวลา แล้วคนที่แย่ก้คือตัวผู้ให้เอง เพราะสมาธิจะไม่มีเหลือในที่สุด  จะเดือนแล้วสิหนอ  …
 
                  ยิ่งถ้าคนไม่ได้เจริญสติ เขาจะตกอยู่ในสภาพที่แย่มากๆ  เราน่ะยังดีอาศัยสติจากการเจริญสติ  เวลาอะไรมากระทบยังตั้งสติรับมือได้ทัน  เหตุใหม่ไม่เกิดขึ้นเพราะเราไม่ไปคิดแก้ไข ปล่อยให้เกิดตามความเป็นจริง  เพราะรู้ดีว่า ยิ่งแก้ยิ่งแย่ยิ่งอีรุงตุงนัง  สภาวะจะเปลี่ยนไปแบบไหนอีกก็ไม่รู้  แต่เกิดแน่นนอน  เกิดกับคนใหม่ที่มีวิบากกรรมร่วมนั่นเอง  เราถึงบอกว่าเราตกใจเพราะเหตุนี้  แต่ชางเถอะ เรื่องของเขา เราไม่เกี่ยว  เรื่องของเรา  เราชดใช้เขาไปแล้ว  และเราก็อโหสิกรรมให้กับเขา  จะได้ไม่ต้องมาก่อภพชาติใหม่ผลัดกันทำแบบนี้ 
 
                 ตรงนี้ข้อคิดสำหรับคนที่คิดถ่ายเทสมาธิจากคนอื่นๆ  โดยเฉพาะในที่สาธารณะหรือจากคนที่เขาไม่ได้ยินยอมให้กับคุณ แต่คุณแอบไปถ่ายเทสมาธิของเขา  นั่งคือ  คุณกำลังผิดศิลนะ  ผิดศิลข้ออทินนา  และยิ่งถ้าคนรู้จักกัน คุณแอบตั้งจิตถ่ายเทของเขาโดยไม่ได้ขออนุญาติ คุณก็ผิดศิลข้ออทินนานะ และถ้าเขาถามคุณ คุณปฏิเสธ  ทั้งๆที่คุณทำ นั่นคือ ศิลข้อมุสา  แล้วตามด้วยศิลข้อปานาติบาต  ปานาไม่ได้หมายถึงฆ่าสัตว์อย่างเดียวนะ  หมายถึงเบียดเบียนทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน  คิดดูให้ดีก่อนที่จะลงมือกระทำ  มันคุ้มค่าไหม  ระหว่าง สมาธิที่คุณได้เพิ่มกับภพชาติใหม่ที่คุณกำลังทำให้มันเกิดขึ้น  แถมมีผลต่อการปฏิบัติเพราะศิลคุณพร่องโดยเจตนา
 
                 ส่วนตัวเรานั้นอโหสิกรรมให้กับเขาทุกๆเรื่อง ต่างคนต่างไม่รู้ เขาเองก็ไม่รู้ เราเองก็ไม่รู้ เรื่องของการถ่ายเทสมาธินั้นว่าสามารถทำให้สมาธิของอีกฝ่ายหมดไปได้ หากมันมากเกินไป  จากเหตุนี้เลยกลายเป็นก่อภพก่อชาติกันไม่รู้จบ  ตอนนี้วิบากกรรมระหว่างเรากับเขานั้นจบลงแล้ว   …
 
                   

ปัญหาข้อที่ ๒ ว่า ” กลางคืนเป็นควัน “

 
                                    ตอบว่า ได้แก่ วิตก  คือ ความตรึก  อธิบายขยายความต่อไปว่า บุคคลทั้งหลายย่อมตรึกตรองถึงการงานที่ตนทำเมื่อเวลากลางวันว่าจะเป็นอย่างไร จะดีหรือร้าย จะมีผลสมความประสงค์หรือไม่  ตรึกตรองต่อไปว่าพรุ่งนี้จะทำอย่างไร จะแสวงหาสิ่งนั้นได้ที่ไหน เมื่อบุคคลตรึกตรองทบทวนไปมาอยู่อย่างนี้  จิตใจหรือความคิดอ่านก็ปานดังว่าควันไฟ  และโดยมากคนเรามักตรึกตรองในเวลาเข้านอน  เพราะเป็นเวลาที่ว่างงาน  พวกชาวนาก็ตรึกตรองในเรื่องทำนา  ชาวสวนก็ตรึกตรองในเรื่องทำสวน  พ่อค้าก็ตรึกตรองในเรื่องค้าขาย  ข้าราชการก็ตรึกตรองในเรื่องราชการอันเป็นหน้าที่ของตน พวกคนยากจนที่เที่ยวรับจ้าง หรือเที่ยวขอทานก็ตรึกตรองในเรื่องรับจ้างขอทาน
 
                                    รวมความว่า  คนทั้งหลายย่อมชอบตรึกตรองคิดอ่านถึงการงานที่ทำมาแล้วและจะต้องทำต่อไป  ตามสมควรแก่ฐานะของตนๆมีเหตุผลดังที่ได้บรรยายมาแล้วนั้น  สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสว่า กลางคืนเป็นควัน ได้แก่  วิตก
 
                                    คำว่า " ควัน " นอกจากที่ยกมาบรรยายแล้วนั้น  ยังมีอยู่อีก ๕ อย่างคือ
 
๑. ควัน  คือ  ความโกรธ
๒. ควัน  คือ  ตัณหา
๓. ควัน  คือ  กามคุณ
๔. ควัน  คือ  ธรรมเทศนา
๕. ควัน  คือ  ควันไฟตามปกติ
 
๑. ความโกรธ  ท่านจัดเป็นควันชนิดหนึ่ง  เมื่อกระทบกับอนิฏฐารมณ์แล้วทำให้ใจขุ่น  แล้วตรึกตรองหาอุบายที่จะทำร้ายเบียดเบียนกันและกัน  ถ้ายังไม่ได้โอกาสก็ผูกพยาบาทอาฆาตจองเวรกันไว้  เพราะฉะนั้นความโกรธจึงนับว่าเป็นควันคือ กิเลสอันดุร้ายหยาบคายชนิดหนึ่งเกิดขึ้นได้ไม่เลือกกาล  ไม่เลือกสถานที่และไม่เลือกเวลา  ไม่เลือกบุคคล  เว้นไว้แต่ผู้ที่ห่าความโกรธได้เด็ดขาดแล้วคือ พระอนาคามีเป็นต้น
 
๒. ตัณหา  ท่านจัดเป็นควันชนิดหนึ่ง  เพราะเมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายถูกต้องเย็นร้อน อ่อนแข็ง ใจนึกคิดธรรมารมณ์  ย่อมให้เกิดความอยากได้ เกิดความแสวงหา เกิดความเพ่งเล็งที่จะเอามาไว้ในอำนาจ เกิดความยึดมั่นถือมั่นแล้ว ปิดบังดวงตาคือปัญญา มิให้มองเห็นทางมรรค ผล นิพพาน  ดุจควันเข้าตมคนแล้วเกิดแสบ  น้ำตาออก มองไม่เห็นหนทาง ฉะนั้น
 
๓. กามคุณ  ก็นับว่าเป็นควันอันร้ายแรงเอาการอยู่ เพราะสรรพสัตว์เกิดการฆ่าฟันรันแทงกันเพราะกามคุณนี้มีจำนวนมากมาย มีแทบทุกๆวัน  แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็เป็นไปในทำนองเดียวกันคือ แย่งกัน กัดกัน หึงกัน หวงกัน เพราะอำนาจกามคุณปิดบัง จึงเป็นเหตุทำให้เกิดทะเลาะวิวาทกันและกัน  ทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อนไปตามๆกัน  ทั้งนี้ก็เพราะกามคุณเป็นควันบังตาไว้มิให้เห็นโทษ มิให้เห็นทุกข์นั่นเอง
 
๔. พระธรรมเทศนา  ก็เป็นควันชนิดหนึ่ง  แต่เป็นไปในฝ่ายกุศล คือมีผลให้บุคคลฉลาด และสามารถจนทำลายเส้นผมบังภูเขาได้ ผู้ที่จะเทศน์ก็ต้องนอนตรึกตรองและค้นคว้าตำรับตำรามาก่อน แม้เวลาเทศน์ก็ต้องนึกคิดตรึกตรอง และมองดูพุทธบริษัท เลือกคัดจัดสรรถ้อยคำสำนวนเนื้อธรรมคำพูดมาชี้แจงแสดงไขให้แก่สาธุชนฟัง  เพื่อให้เกิดความเข้าใจ เพื่อให้เกิดความรู้ แล้วจักได้นำไปประพฤติปฏิบัติ กำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลง อันเป็นควันเผาใจของตนนั้นให้หายไป ดังนั้นพระธรรมเทศนาจึงจัดว่าเป็นควันชนิดหนึ่ง
 
๕. ควันปกติ  ได้แก่ ควันไฟอันเกิดจากเชื้อต่างๆ เช่น เกิดจากฟาง เกิดจากไม้ เกิดจากรูป ย่อมทำให้บุคลแสบตา บังมิให้มองเห็นทางตอไม้ เสี้ยนหนามต่างๆ เมื่อเดินไปอาจจะกระทบกับขวากหนาม แล้วเป็นปัจจัยให้เกิดทุกขเวทนา ก่อให้เกิดความโกรธก็ได้ ก่อให้เกิดภัยอันตรายต่างๆก็ได้  ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า คำว่า ควัน นี้ ท่านหมายเอา วิตก คือ ความตรึกตรองซึ่งมีอุปมาดุจควันไฟตามปกติ  นอกจากนี้คำว่า ควันนั้น ยังจำแนกแจกออกไปอีกเป็น ๕ อย่างคือ ความโกรธ ตัณหา กามคุณ ธรรมเทศนา และควันไฟตามปกติ
 
จากหนังสือ วิปัสสนากรรมฐาน ภาค ๑ เล่ม ๑ รจนาโดย หลวงพ่อโชดก 

พระสติ พระสัมปชัญญะ

 
                                        เช้านี้ รู้สึกเฉยๆ  เมื่อเช้าได้ร่วมทำบุญอาหารเจกับร้านข้าวแกงในหมู่บ้าน คือ เขาทำอาหารเจแจกทุกวัน ตอนแรกเขาไม่ยอมรับ  เราบอกว่า เราตั้งใจทำนะ  เขาก็เลยยอมรับ ยิ่งให้ยิ่งได้จริงๆนะขอให้ตั้งใจทำจริงๆเถอะ เมื่อเจอปัญหา เจออุสรรค เจอความทุกข์  เจอความเสียใจ ความเบื่อหน่าย อย่าท้อถอยนะ เพราะนั่นคือกิเลสของเราเอง ทุกอย่างล้วนเกิดจากใจเราเองไม่ได้เกิดจากใครๆ  ส่วนเจ้าหนี้น่ะ  เจ้ากรรมนายเวรของเรา  เขาเป็นตัวมาทดสอบกิเลสของเรา พร้อมๆกับให้เราชดใช้หนี้เขาไปด้วย …
 
                                        ใครที่เจอความทุกข์ใจ  ความเสียใจ อะไรทั้งหมดที่เป็นเหตุที่ไม่ดีจากสิ่งที่มากระทบ  ขอจงดีใจ ว่านี่คือคุณกำลังมีทุนที่จะชดใช้เขาแล้ว เจ้าหนี้เขาจึงมาทวง ทะยอยใช้เขาไป อย่าเหมือนเรา  เราน่ะโดนรุมเลยทีเดียว ถูกใช้ถี่ยิบเลย หนักมากๆ แต่ก็ไม่ถอดใจเลิกปฏิบัติ  ..
 
                                         ถึงสภาวะจะบีบคั้นเรามากแค่ไหน ไม่ว่าจะทุกข์มากแค่ไหน เราไม่เคยถอย ยังทำความเพียรต่อเนื่อง เฝ้าเจริญสติอย่างต่อเนื่อง  ยิ่งช่วงนี้ แม้แต่คนทั่วๆไป ยังมีสมาธิมากกว่าเราเลย  สมาธิเราไม่เหลือเลย ถูกนำไปชดใช้หนี้เขาไปหมดแล้ว  เล่นเอาเราอารมณ์แปรปรวน สวิงสุดๆเหมือนกัน กับสภาวะที่ผ่านมา  เราไม่มีสมาธิเหลือเลยนะ ตอนนี้อาศัยสติเพียวๆเลย สติที่เกิดจากเราเจริญสติปัฏฐานอย่างต่อเนื่อง  นี่แหละผลการทำความเพียรอย่างต่อเนื่อง  หากไม่เกิดเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น  เราเองก็ยังคงหลงยึดติดอยู่กับสมาธิ  ว่าสมาธิสำคัญที่สุด  จริงๆแล้วสติสำคัญที่สุด สมาธิคนอื่นๆสามารถเอาของเราไปได้  แต่สตินี่ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้ ใครมาเอาไปก็ไม่ได้  ส่วนสมาธินั้นเราก็ดูนะ ดูอยู่ว่าใช้เวลานานเท่าไหร่ กว่าจะกลับมาเป็นปกติแบบเมื่อก่อน  …
 
                                       ช่วงนี้เมื่อเกิดการกระทบ  จิตมันขาดสมาธิเลยดับได้ช้า  อาศัยสติเอา ทันบ้าง ไม่ทันบ้าง อารมณ์นี่สวิงสุดๆ แต่ก็ยังดีนะ ถึงจะสวิงไปบ้าง   ทุกข์ที่เราคิดว่ามันจะทุกข์นาน มันก็ดับไปได้ไวขึ้น  ไม่ไปเกาะเกี่ยวอารมณ์ตรงนั้นนานเหมือนเมื่อก่อน  เมื่อก่อนจะนานมากเลย  มันไม่มีอะไรที่ทำให้แย่ไปกว่านี้อีกแล้ว นี่แหละผลการเจริญสติ มันทำให้เรามีสติรับมือกับสิ่งที่มากระทบมากขึ้น ส่วนที่เราระบายออกมาทางตัวหนังสือ เพื่อจะดูกิเลสของเราเองว่ามันยังติดอยู่ตรงไหน ยอมรับความเป็นจริงมากขึ้นแค่ไหน ยังคิดไปแก้ไขเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกไหม   ไม่คิดนะ ไม่เคยคิดแก้ไขมานานแล้ว  คับแค้นใจมากๆก็ระบายมันออกมา  เพราะเรารู้ว่า ยิ่งเราไปคิดแก้ไข สภาวะมันจะเปลี่ยนทันที ….
 
                                      การคิดแก้ไขคือการไปแทรกแซงสภาวะ  สภาวะเลยยุ่งอีรุงตุงนังไปหมด คนที่แย่สุดๆก็คือเรา  ดูจากเหตุการณ์ครั้งหลังๆ เราปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นตามความเป็นจริง  ไม่ไปแก้ไขให้ใครๆมาเข้าใจเรา  ใครจะว่าเรายังไงไม่ไปตอบโต้เขา  แต่จิตเรานี่สิ กิเลสมันมีนะ มันดิ้นรน มันทุกข์ มันไม่ยอม เราก็ระบายมันออกมาทางตัวหนังสือ  มันก็ยังดีกว่าเราไปก่อภพก่อชาติกับเขาใหม่อีก  ดีกว่าเราไปปะทะกับเขา แล้วภพใหม่ชาติใหม่เกิดขึ้นอีก มันไม่คุ้มหรอก   ให้มันจบไปตามความเป็นจริงดีกว่า  เมื่อเราไม่ไปตอบโต้เขา เขาเหนื่อย เขาก็หยุดไปเอง  …
 
                                     เราทำทุกอย่างตามความเป็นจริง ไม่โกหกทั้งตัวเองและผู้อื่น  ไม่สร้างภาพให้ใครๆมานับถือ เราคือคนธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้นเอง  ส่วนใครจะคิดอะไรยังไงอยู่ที่เขาปรุงแต่งกันเอง มันก็แค่เปลือกที่ห่อหุ้มภายนอกของแต่ละคน  เราไม่ไปตอบโต้หรือแก้ตัวใดๆทั้งสิ้น ปล่อยเขาทั้งหลาย ใครจะว่าอะไรยังไงนั่นก็กิเลสของเขา เขาปรุงแต่งขึ้นมากันเอง  ผลที่ได้รับคือตัวผู้กระทำเอง  เราอโหสิกรรมให้หมดแล้ว ส่วนใครจะปรุงแต่งกันยังไต่อเรื่องของเขา ทุกอย่างมันมีเหตุ เมื่อเราไม่สร้างเหตุใหม่เพิ่มกับคนเหล่านี้ ภพชาติที่เราจะมีกับคนเหล่านี้ย่อมจบลงไป  …
 
                                    เราเขียนบล็อกนี้มานานแล้ว  หลายปีแล้ว คนเข้ามาอ่านกันมากมาย  เออแน่ะ … บทเจ้าหนี้เขาจะมาทวง    แหม!!!! … ดาหน้ากันเข้ามาหาเลย  ดีนะ  ที่เขายังปล่อยให้เราได้พักหายใจได้บ้าง  หลังจากที่ได้ระบายออกมา เริ่มมีความสงบมากขึ้น เพียงเรายอมรับความจริงที่เกิดขึ้น ไม่ไปตอบโต้กับใครๆ  อย่าไปปะทะกับใครๆเขา ขอให้อดทน หมั่นเจริญสติต่อไป แล้วเราจะผ่านมันไปได้ อารมณ์อาจจะสวิงสุดๆ แต่นี่มันคือเรา สวิงก็ต้องยอมรับว่ามันสวิง เพราะอะไร เพราะสติเรายังไม่ทันนั่นเอง  เราต้องยอมรับความจริงตรงนี้นะ ไม่ใช่มาโกหกตัวเอง มากดมาข่มเอาไว้ ยิ่งสมาธิไม่มีด้วย อย่าให้เซด เล๊ย สุดๆเลย   …
 
                                   ส่วนคนอื่นๆน่ะ เขาจะมองหรือเข้าใจยังไงนั่นเรื่องของเขา  เราไม่ไปคิดแทนและไม่ไปแก้ตัวใดๆทั้งสิ้น  หากเขาเข้ามาอ่านแล้ว เขารู้สึกจงชังเรา แถมมาละเมิดเราอีก นั่นคือ เขามีวิบากร่วมกับเรา  เราให้อโหสิกรรมต่อเขา  แล้วถ้าเขายังไม่จบนะ  ยังปรุงต่อไปเรื่อยๆตามกิเลสของตัวเขาเอง คนที่รับผลก็คือตัวเขาเอง   เพราะเราจบแล้วด้วยการอโหสิกรรมให้กับเขาทุกๆการกระทำ  เวรที่เราเคยมีต่อเขามันจบสิ้นลง แต่สิ่งที่เขาได้ปรุงแต่งตามกิเลสของเขา  ไม่ว่าเขาจะปรุงแต่งยังไงก็ตาม เขาเป็นผู้รับผลกรรมนั้น  แล้วผลมันไปรออยู่แล้ว พอวันหนึ่งวิบากมันส่งผล ก็จะมีคนที่เคยสร้างเหตุร่วมมากับเขา ส่งผลตรงนั้นให้กับเขา สิ่งที่เขาเคยกระทำกับเรา  มันเป็นลูกโซ่แบบนี้นะ  วัฏสงสารมันถึงไม่รู้จักจบสิ้นไปได้ เพราะเหตุนี้แหละ เราถึงต้องมาฝึกเจริญสติปัฏฐาน เพื่อจะได้มีสติ รู้เท่าทันจิตที่กำลังจะปรุงแต่ง ภพชาติจะได้สั้นลงไปเรื่อยๆ  …

 
                                  เพียงเรายอมรับความจริง ทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง  วิธีการหรืออุบายของแต่ละคนล้วนแตกต่างกันไป สุดแต่ว่าใครจะหาทางออกให้กับตัวเองแบบไหน เพียงแต่ให้ส่งผลกระทบกับบุคคลที่ 3 ให้น้อยที่สุด เพราะมันคือเหตุใหม่ที่กระทำขึ้น  แต่บางคนเขามีวิบากร่วม เขาจะมาเจอเอง นี่ก็ยากจะหลีกเลี่ยงนะ ทั้งๆที่พยายามหลีกเลี่ยงแล้ว   แต่วิบากกรรมนี่มันแรงจริงๆ เอานะอโหสิกรรมให้ทั้งหมดเลย ไม่ว่าใครจะว่าอะไรเราก็แล้วแต่ …

อธิบาย จอมปลวก ปัญหา ๑๕ ข้อในวัมมิกสูตร

 
ปัญหาข้อที่ ๑ คำว่า " จอมปลวก " ในที่นี้ ได้แก่ร่างกาย ได้ชื่อว่าจอมปลวก เพราะเหตุ ๔ ประการคือ
 
ประการที่ ๑   ธรรมดาจอมปลวกย่อมคายสัตว์ต่างๆออกมาเช่น ตัวปลวก งู พังพอน เป็นต้น ฉันใด แม้ร่างกายของบุคคลทั่วๆไปในโลกนี้ ก็ฉันั้นเหมือนกัน คือ ย่อมคายของโสโครกมีขี้หู ขี้ตา ขี้มูก และตัวพยาธิปากข้อตางๆ ออกมากจสกนธ์กาย ดุจจอมปลวกคายสัตว์ต่างๆออกมาฉนั้น
 
               แต่คำว่า " คาย " ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า คายออกจากปากเท่านั้น หมายความว่า คายออกจากร่างกายทั่วไป เพราะว่าร่างกายทั้งสิ้นย่อมเป็น เหมือน  กับปากแผลทุกๆแห่งไป  ที่เห็นได้โดยง่ายคือ ทวารทั้ง ๙  และขุมขน  สิ่งโสโครกต่างๆ  ย่อมไหลออกมาจากทวารทั้ง ๙ และขุมขนเสมอเป็นนิตย์  สมกับพระพุทธภาษิต  ที่สมเด็จพระธรรมสามิสร์ได้ตรัสแก่พระนางเขมาว่า
 
อาตุรํ อสุจี ปูตี     ปส์ส เขเม สมุสฺสยยํ
อุคุฆรนตํ ปคฺฆนนนิตํพาลานํ   พาลานํ  อภิปตฺถิตํ  
 
แปลใจความว่า
 
" เขามา เธอจงดูร่างกายอันอาดูร  ไม่สะอาด เน่าในไหลเข้าไหลออกอยู่เนนิตย์  แต่คนพาลมีจิตปรารถนายิ่งนัก "   
 
ประการที่ ๒  ตัวปลวกทั้งหลาย  ย่อมช่วยกันคาบเอาดินมาคายออก ก่อให้สูงขึ้นประมาณเพียงบั้นเอวบ้าง เพียงศรีษะบ้าง หรือต่ำสูงเกินกว่าที่กล่าวมานี้บ้าง  ตามแต่กำลังของปลวก  หรือสถานที่ที่มีปลวกขนเอาดินมาก่อไว้   ข้อนี้ ฉันใด ร่างกายของบุคคลทั่วโลกก็ฉันนั้น  คือย่อมก่อร่างสร้างตัวหาอาหารมาบำรุงบำเรอโดยรอบด้านเพื่อให้เติบดตโดยลำดับๆ  และร่างกายนี้ยังเป้นที่คายความรักใคร่ของพระอริยเจ้าออกให้หมดสิ้น  พระอริยเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้ามิได้มีความรักใคร่ใยดีในร่างกายเลย  ฉะนั้นท่านจึงเปรียบเทียบให้เห็นว่าจอมปลวกนั้นได้แก่ร่างกาย
 
ประการที่ ๓  ตัวปลวกที่ขนดินมาก่อนั้น  ย่อมคายยางเหนียวคือ น้ำลายของมันออก  ทำเป็นน้ำเชื้อสำหรับทำให้ดินเหนียว ส่วนมนุษย์เรา เมื่อจะทำดินเหนียวสำหรับทำภาชนะสิ่งของต่างๆ  มีปั้นหม้อ  และปั้นอิฐ  หรือกระเบื้อง เป็นต้น  ย่อมใช้น้ำท่าหรือน้ายาผสมดิน  ขยำดินให้เหนียวก่อน  จึงทำเป็นสิ่งนั้นๆได้    ส่วนปลวกไม่มีปัญญาที่จะทำดินเหนียวเหมือนมนุษย์ได้  จึงต้องใช้น้ำลายต่างน้ำท่าหรือน้ำยา  โดยเหตุนี้ดินภายใจจอมปลอมหรือดินที่เป็นปลวกกำลังก่อขึ้นใหม่นั้นจึงเหนียว  ข้อนี้ฉันใด  ร่างกายของมนุษย์ทุกมุมโลกก็ฉันนั้น  คือ ย่อมเกลือกกลั้วไปด้วยของสกปรกปฏิกูลน่ารังเกียจ  ย่อมคายน้ำลายออกมาผสมกับอาหาร  ในเวลารับประทานเสมอ 
 
                 และร่างกายนี้  ยังเป็นที่คายสิ่งหลอกลวงออกแห่งพระอริยเจ้าทั้งหลาย  คือ สิ่งที่หลอกลวงสัตว์ทั้งหลายให้ลุ่มหลงติดอยู่  มีอยู่ในร่างกายที่ปรุงแต่งขึ้นด้วยกระดูก ๓๐๐ ท่อน  หุ้มด้วยหนังรัดรึงด้วยเส้นเอ็นน้อยใหญ่  ชุ่มด้วยโลหิตฉาบไล้ด้วยผิวหนังตลอดถึงอาการ ๓๒ มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง  เป็นต้น หรืออวัยวะต่างๆ มีหน้า ตา แขน ขา มือ เท้า เป็นต้น  ล้วนแต่เป็นเครื่องหลอกลวงให้สัตว์บุคคลหลงรักใคร่เกลียดชัง  บางทีก็รักสิ่งนั้น เกลียดสิ่งนั้น  หรือรักทั้งหมด  เกลียดทั้งหมดในสิ่วนที่มีอยู่ในร่างกาย
 
                ส่วนพระอริยเจ้าทั้งหลาย  ย่อมคายเสีย  ถอนเสีย  ละเสีย  ซึ่งสิ่งที่หลอกลวงทั้งสิ้นนั้น  มีอาการปานประหนึ่งว่าจอมปลวก  อันเป็นที่คายน้ำลายของตัวปลวกทั้งหลายออกมาฉะนั้น
 
ประการที่ ๔  ดินในจอมปลวก เมื่อเอามาขยำด้วยมือบีบคั้นให้แรงๆ  ย่อมมียางไหลออก  มีอาการเหนียวคล้ายกับน้ำเชื้อสำหรับปั้นอิฐ  ยางเหนียวนั้นเกิดจากน้ำลายของตัวปลวก  ฉันใด  ร่างกายของสรรพสัตว์ทั่วสากลโลก   ก็ฉันนั้น  เพราะร่างกายนี้   เต็มไปด้วยยางเหนียวคือตัณหาทั้ง ๓ ได้แก่ กามตัณหา ๑ ภวตัณหา ๑ วิภวตัณหา ๑ คายออกไปหา รูป เสียง กลิ่นรส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์อยู่เสมอๆ  แล้วก็ผูกมัดรัดเอาสัตว์ไว้ให้ติดอยู่ในวัฏฏสงสารหรือสังสารวัฏตัดไม่ขาด  ทำให้ลุ่มหลง  วนเวียนอยู่ในห้วงมหรรณพภพสงสาร  ตลอดกาลอันยืดยาวนานไม่มีที่สิ้นสุดยุติลงได้
 
               ส่วนพระอริยเจ้าทั้งหลาย  อาศัยกายนี้ คายยายงเหนียวเหล่านั้นออก  คือละยางเหนียวเสียได้ ไม่หลงใหลติดอยู่ เพราะท่านมีปัญญาฉลาดเฉลียวสามารถละยางเหนียวได้โดยเด็ดขาด ด้วยอำนาจแห่งมัคคญาณ
 
                นอกจากนี้  ยังมีสิ่งที่น่ารู้ในสกนธ์กาย  อันมีอุปทากับจอมปลวกนี้อีกมาก  คือ ธรรมดาว่าจอมปลวก ย่อมมีลักษณะ ๔ อย่าง คือ
 
๑.  ปสูติฆรสถาน  เป็นที่เกิดแห่งปณกชาติทั้งหลาย ฉันใด  ร่างกายก็เป็นที่เกิดแห่งสัตว์ทั้งหลาย  ฉันนั้นเหมือนกัน  คือสัตว์ทั้งหลายย่อมเกิดอาศัยอยู่ในผิวหนังบ้าง  อาศัยอยู่ในหนังบ้าง เนื้อบ้าง เส้นเอ็นบ้าง กระดูกบ้าง สัตว์เหล่านั้นได้แก่  ตัวกิมิชาติ คือ หมู่หนอน ๘ หมื่นจำพวก  จะเป็นร่างของคนยากจนเข็ญใจ มั่งมี ผู้ดี ไพร่ ตลอดจนพระราชามหากษัตริย์ และผู้มีอานุภาพมากสักปานใดก็ตาม  ย่อมเป็นปสูติฆรสถาน  คือ เรือนเป็นที่เกิดของหมู่หนอนเหมือนกันทุกประเภท  มิได้มีพิเศษแตกต่างกันเลย แม้แต่คนเดียว อันนี้เป็นอุปมาข้อ ๑
 
๒.  วัจจกุฏิ  ธรรมดาจอมปลวก ย่อมเป็นวัจจกุฏิที่ถ่ายอุจจาระ  ปัสสาวะ  ของสัตว์ทั้งหลาย  มีตัวปลวกเป็นต้น  ฉันใด ร่างกายนี้ก็เป็นวัจจกุฏิที่ถ่ายมูตรคูถแห่งหมู่หนอนฉันนั้นเหมือนกัน
 
๓.  คลานศาลา  ธรรมดาจอมปลวก ย่อมเป็นดรงพยาบาล คือ ดรงเจ็บป่วยของตัวปลวกทั้งหลาย  ฉันใด  ร่างกายนี้ก็เป็นคิลานสถานคือ โรงพยาบาล  ที่เจ็บป่วยของหมู่หนอน  ฉันนั้นเหมือนกัน
 
๔.  สุสานหนอน  ธรรมดาจอมปลวกย่อมเป็นป่าช้าแห่งตัวปลวกทั้งหลายฉันใด  ร่างกายนี้ก็ย่อมเป็นสุสานสถาน  คือ ป่าช้าของหมู่หนอนและสัตว์ทั้งหลายอื่นๆ อีกเป็นอันมาก  ที่เรารับประทานอยู่ทุกๆวัน มี วัว สุกร เป็ด ไก่ หอย กุ้ง เป็นต้น  ซึ่งไม่สามารถนับคำนวณได้  ว่าสัตว์เหล่านั้นตายเพราะปาก เพราะท้อง ของมนุษย์แต่ละคนนี้มีประมาณเท่าใด  ดังนั้น  ร่างกายของบุคคลท่านจึงเปรียบไว้ว่าเป็นเหมือนป่าช้าอันเป็นที่ฝังศพฉะนั้น
 
                         โดยเหตุผล ๔ ประการนี้แหละ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า  จอมปลวกที่มีอยู่ในปัญหานี้  ไม่ใช่อื่นไกลเลย  ได้แก่ร่างกายของบุคคลทั้งหลายนี่เอง
 
จาก หนังสสือ วิปัสสนากรรมฐาน ภาค ๑ เล่ม ๑ รจนาโดย หลวงพ่อโชดก

ปริศนาธรรม

 
กินเท่าไหร่ไม่หายอยาก คือ…
นอนมากไม่รู้ตื่น คือ…
รักผู้อื่นยิ่งกว่าตัว คือ…
ของควรกลัวกลับกล้า คือ…
ของสั้นสัญญาว่าของยาว คือ…
อุ้มลูกอ่อนรัดไม่วาง คือ…
หนีจระเข้ใหญ่ลงในน้ำ คือ…
สู้ไพรีไม่ต้องอาวุธ คือ…
ปอกมะพร้าวเอาปากกัด คือ…
ตาบอดหลงทางไม่ถามไถ่ คือ …
ต้องจองจำกลับยินดี คือ…
 
๑. กินเท่าไรไม่หายอยาก
                            ได้แก่ โลภะ – ความละโมภ คือ ความอยากได้ อยากมี อยากดี อยากสุข หาที่สิ้นสุด มิได้ ถึงจะได้จะมีสักเพียงไร ก็ไม่มีเวลาเพียงพอ สมกับคำว่า “กินเท่าไรไม่หายอยาก”

๒. นอนมากไม่รู้จักตื่น

            ได้แก่ โมหะ คือ ความหลง หลงรัก หลงชัง หลงดี หลงชั่ว หลงลาภ หลงยศ หลงเขา หลงเรา มัวเมาไปด้วย ความหลงไม่มีเวลาสร่าง ไม่มีเวลาตื่นเหมือนกับคนนอนหลับ หาเวลาจักกลับตัวจากโมหะไม่ได้

๓. รักผู้อื่นยิ่งกว่าตัว

                   เพราะโมหะนั้นเองเป็นเหตุ ให้รักผู้อื่นยิ่งกว่าตัว คือ รักผัว รักเมีย รักลูก รักหลาน รักมิตรสหาย รักเจ้ารักนาย จนถึงยอมตัวของตัวลงสู่กรรมอันเป็นบาป เป็นต้นว่า ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ กล่าวมุสา ล่อลวงเอาทรัพย์สมบัติของผู้อื่นมาบำรุงน้ำใจของชนเหล่านั้น ผลของอกุศลที่ตนทำลงนั้น ตนก็จักก้มหน้ารับไปแต่ผู้เดียว อาศัยความรักเขาเป็นเหตุ อาจจักทำกรรมอันเป็นบาปใส่ตัวได้ ทุกประการอย่างนี้

๔. ของควรกลัวกลับกล้า

                   เพราะความรักผู้อื่นนั้นเองเป็นเหตุ กรรมอันเป็นบาป เป็นของควรกลัวแต่กล้าทำได้ทุกประการ มนุษย์มีชาติเสมอกันก็อาจฆ่ากันได้ สัตว์ทุกจำพวกไม่ว่าตัวใหญ่ตัวเล็ก ตัวมีคุณและหาคุณมิได้ อาจฆ่าได้ทุกประเภท แม้ทรัพย์สมบัติของผู้อื่น อาจลักขโมยเอาได้ทุกประการอาจกล่าวคำเท็จ ฉ้อโกงเขาได้อาจวินิจฉัยคดีกลับแพ้เป็นชนะ กลับชนะเป็นแพ้ได้ทุกประเภทขึ้นชื่อว่ากรรมอันเป็นบาปแล้วซึ่งจะทำไม่ได้นั้นเป็นอันไม่มีเพราะโมหะนั้นเองเป็นเหตุ

๕. ของสั้นสัญญาว่าของยาว

                 ได้แก่ ชีวิตความเป็นอยู่ของสัตว์เพียง ๖๐ ปี ๗๐ ปี เท่านั้น ต้องนับว่าสั้นนักน้อยนัก ทั้งไม่มีนิมิตเครื่องหมายนายประกัน ว่าจะได้ถึงเพียงนั้นหรือไม่ แต่ความมุ่งหมายนั้นดูเหมือนจะอยู่ไปตั้งร้อยปีพันปี คือ ความหมายความบากบั่น ประกอบการงานทั้งอาการที่หึงหวงในสรรพพัสดุ ทั้งที่มีวิญญาณและหาวิญญาณมิได้ เป็นต้นว่าหวงลูกหวงเมียหวงเขตบ้านแดนสวนเขตไร่แดนนา อย่างประหนึ่งว่า เราจะอยู่เป็นเจ้าเข้าเจ้าของไปตั้งหมื่นปีหารู้ไม่ว่าชีวิตเป็นของมีประมาณน้อยเป็นของสั้น

๖. ปอกมะพร้าวเอาปากกัด

               ได้ความว่า ธรรมดาปอกมะพร้าวต้องใช้พร้า-ใช้ขวาน เพราะเป็นของแก่นของแข็งไพล่เอาปากไปกัด ผิดธรรมดาของโลก ตกลงก็คงไม่ได้กินกันเท่านั้น เปรียบเหมือนมรรคผล นิพพาน ธรรมดาของท่านผู้จะสำเร็จ ท่านต้องศีล สมาธิ ปัญญา เป็นมรรคเครื่องประหารไม่ ไพล่ไปเอาโวหารเป็นเครื่องประหารกิเลส อวดฝีปากกันว่า ข้าจำได้มาก ข้าฉลาดกว่าเจ้า จะถือเอามรรคผล นิพพานด้วยปากเท่านั้น ตกลงก็คงจะอยู่เท่านั้นเอง เพราะผิดธรรมดา

๗. อุ้มลูกอ่อนกอดรัดไว้ไม่วาง

                    ร่างกายนั้นเปรียบด้วยลูกอ่อน เพราะลูกอ่อนย่อมเป็นของอันมารดาและพี่เลี้ยงจะต้องประคอง ถนอมเป็นอย่างเอื้อเฟื้อ ไม่มีความประมาท คอยพิทักษ์รักษาอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน คอยป้อนข้าวน้ำ คอยระวังซักผ้าขี้ผ้าเยี่ยวอยู่เสมอฉันใด แม้อัตตภาพร่างกายอันนี้ผู้เป็นเจ้าของก็จะต้องระวังรักษาอย่างถนอม ถ้าหิวต้องหาอาหารให้รับประทาน ร้อนอาบน้ำ หนาวห่มผ้า จะไปทางใดก็ต้องระวัง เตรียมร่มกันแดด กันฝน และรองเท้าไปด้วย ชั้นผู้ดีมีสมบัติจะไปทางใดต้องไปด้วยยานต่างๆ ถนอมร่างกายจนถึงไม่ต้องเดินจนเสียกำลังขาเดินไปไหนไม่ได้ ยังไม่แก่ไม่เฒ่าสักปานใด กลายเป็นคนเปลี้ยคนง่อยไปก็นับไม่ถ้วนชั้นแต่จะทำประโยชน์อย่างสำคัญแก่ตน คือ หาที่พึ่งแก่ตน รักษาอุโบสถศีลไม่ได้ กลัวหิวข้าว กลัวเป็นลม กลัวตาย คนพวกถนอมร่างกายอย่างกอดรัดเช่นนี้กับพวกที่ถือว่าร่างกายเกิดมาสำหรับใช้เท้าสำหรับเดิน อุโบสถศีล ถ้ามนุษย์รักษาไม่ได้ พระพุทธเจ้าคงไม่ทรงอนุญาต พวกที่รักษามาก่อนก็ไม่ได้ยินข่าวว่าผู้ใดตายเพราะอดข้าวในวันรักษาอุโบสถ คิดเห็นอย่างนี้ ก็ตั้งหน้าประพฤติไปโดยธรรมดาตามหน้าที่อายุของบุคคล ๒ จำพวกนี้ ก็ไม่เห็นว่าจะได้เปรียบกันกี่มากน้อย เหตุนั้นอย่าหลงกอดรัดเขานักเลย

๘. หลงทางไม่ไต่ถาม

               ได้ใจความว่า ธรรมดาคนหลงทาง ถ้าพบ ต้องถาม ถ้าไม่พบ ก็คงไปที่ตนประสงค์ไม่ถูก อาจจักได้รับความลำบาก มีอดข้าวอดน้ำ เป็นต้น อยู่ตามที่หลงนั้นเอง เปรียบเหมือนบุคคลผู้ไม่รู้จักทางนรก ทางสวรรค์ ทางนิพพาน ทางสุข ทางทุกข์ แต่ทำหัวดื้ออวดตัวไม่ถามท่านผู้รู้ ก็คงงุ่มง่ามทรามเซอะ อาจจักตรงไปสู่ทางนรกก็ได้ ที่จะเดาให้ถูกทางสวรรค์ ทางนิพพาน นั้นแสนยาก น่ากลัวจะเสียตลอดชีวิต ถ้าหลงตลอดชาติก็น่าเสียดายอยู่ เพราะเพื่อนมนุษย์ผู้ฉลาดเขาตรงไปสุคติได้ ส่วนเรายังหลงงุ่มง่ามหันหน้าไปทางทุคติ น่าสลดใจอยู่

๙. หนีจระเข้ใหญ่ไพล่ลงน้ำ

                  จระเข้ใหญ่เปรียบเหมือนความทุกข์ คนเกลียดทุกข์ กลัวทุกข์ คิดหนีทุกข์ การหนีทุกข์ไพล่ไปมีเรือน คือ ไปมีสามีภรรยากันขึ้น การครองเรือน คือ มีสามีภรรยานั้นเองท่านเปรียบด้วยน้ำ  ตัวเรือนที่อยู่จระเข้  ต่อนั้นไปก็จะมีแต่ทุกข์น้อยทุกข์ใหญ่  คือ จระเข้กัดร่ำไป จะเอาสุขสะอาดมาแต่ไหน  ก็เพราะไม่รู้จักทางสุขนั้นเองเป็นเหตุ

๑๐. ต้องจองจำกลับยินดี

                   เครื่องจองจำนักโทษทุกวันนี้ ที่เป็นของสำคัญแล้วไปด้วยเหล็ก คือ สายโซ่คอ ๑ กุญแจมือ ๑ ตรวนใส่ขา ๑ ท่านแสดงในที่มาบางแห่งว่า ตัณหา ความรักลูก เหมือนโซ่เหล็กมาผูกคอ ตัณหาความรักผัวรักเมีย  เหมือนกุญแจเหล็กมามัดศอกตัณหาความรักสมบัติเข้าของ  เหมือนดังตรวนเหล็กมาเป็นปลอกสวมตีน ตัณหา ๓ ประการนี้ เป็นเครื่องผูกสัตว์ให้เวียนวนอยู่ในวัฎฎสงสารจะต้องอาศัยอริยมรรค ญาณ จึงจะตัดให้ขาดได้ อาศัยนัยนี้เห็นจะตรงกับปัญหาที่ว่าต้องจองจำกลับยินดี เพราะบุคคลทั่วไปถ้ามีบุตร มีสามี มีภรรยา มีสมบัติเข้าของยอมยินดีด้วยกันโดยส่วนมาก

๑๑. สู่ไพรีไม่หาอาวุธ

             ไพรี แปลว่า ข้าศึก ธรรมดาข้าศึกเขาต้องเตรียมอาวุธ ยุทธภัณฑ์พร้อมจึงเรียกว่า ข้าศึก เราจะต่อยุทธสงครามกับด้วยข้าศึก เราก็จะต้องเตรียมอาวุธ ยุทธภัณฑ์ไว้ให้พร้อม  จึงจะต่อสู้กันได้   หมายยุทธสงครามภายนอก  ในปัญญหานี้ดูเหมือนท่านประสงค์ข้าศึกภายใน  ข้าศึกภายในไม่มีมาก  มีสามนายเท่านั้น คือ นายชรา ๑ นายพยาธิ ๑ นายมรณะ ๑ แต่เป็นชาติเหี้ยมโหด  ดุร้ายมาก  สังหารผลาญชีวิตของมนุษย์และสัตว์ทั่วโลก ไม่ละเว้นไว้ให้หลงเหลือเลย  เราควรเตรียมอาวุธภายนอกไว้รับมือกับอ้าย ๒ นาย  คือ นายชรา กับ นายพยาธิ อ้ายนายชรานั้นให้เตรียมอาวุธ คือ ยาอายุวัฒนะสู้กับมัน อ้ายนายพยาธินั้นต้องใช้สรรพยาต่าง ๆ เพราะเขามีอิทธิฤทธิ์แผลงฤทธิ์ได้ถึง ๙๖ ประการ ถ้าเห็นจะสู้ด้วยอาวุธยาเหล่านั้นไม่ไหว ต้องเข้าใจว่าข้าศึกรวมกำลังกันได้แล้ว คือ นายมรณะ ได้ นายชรา นายพยาธิ มาเป็นกำลังเต็มที่แล้ว อาวุธข้างนอกสู้ไม่ไหวแล้วต้องเอาอาวุธข้างในออกต่อสู้ อาวุธข้างใน คือ ปัญญาวุธ ความนี้เราต้องเอาชัยชนะให้จงได้  ให้ตรวจกองเสบียงดู คือ ทานที่เราบริจาคปัจจัยทั้ง ๔  เกื้อกูลแก่ท่านผู้มีศีลของเรา  พรักพร้อมบริบูรณ์อยู่แล้วหรือยัง กำลังทรัพย์ของเราเป็นอย่างไร สัทธาธนัง ทรัพย์ คือ ศรัทธา เชื่อต่อปัญญา เครื่องตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีในตนของเราอยู่ หรือ สีลธนัง ทรัพย์ คือ ศีล มีที่ตัวของเราอยู่ หรือ สังฆปสาทะ ความเลื่อมใสในพระสงฆ์ มีที่ตัวของเราอยู่หรือ อุชุภูตัญจทัสสนัง ความเห็นตรงในธรรมเช่นนั้น เป็นตัวปัญญาธนัง เกิดขึ้นแก่เราแล้วหรือ เมื่อตรวจอริยทรัพย์ เห็นมีพร้อมที่ตนเช่นนี้ เราก็ได้รู้ว่า กำลังทรัพย์กำลังพาหนะของเราพรักพร้อมอยู่แล้ว กำลังอาวุธ คือ ปัญญา เป็นของสำคัญเราก็มีพร้อมอยู่แล้ว เมื่อตรวจเห็นเสบียง กำลังทรัพย์ กำลังพาหนะ กำลังปัญญา มีพรักพร้อมเช่นนี้แล้ว จะต้องกลัวอะไรแก่อ้ายข้าศึกออกประจัญบานกับเขาดู ชี้หน้ามันทีเดียวว่า เฮ้ย-อ้ายชรา อ้ายพยาธิ อ้ายมรณะ ข้ารู้จักหน้าตาเจ้าดีแล้ว เจ้าไปแผลงฤทธิ์แก่คนโฉดเขลาโน้นเถิด อย่ามาอวดดีแก่เราเลย ตัวของเจ้าเป็นอ้ายสมมติ อ้ายสังขารไม่ใช่หรือ เจ้ารู้จักข้าไหม ถ้าไม่รู้ ข้าจะบอกให้ ตัวของข้านี้ คือ เจ้าอมตะ คือ ชาติกายสิทธิ์ไม่มีชรา ไม่มีพยาธิ ไม่มีมรณะพวกเองตามข้าไม่ทันดอก เอาเปลือกเมืองไปเถอะ นี้แหละอาวุธภายใน สำหรับทำยุทธสงครามต่อข้าศึก พวกนักปราชญ์ท่านเตรียมพร้อมทุกคน เมื่อตัวของเราไม่หาอาวุธเช่นนั้นไว้สำหรับตัว ถึงคราวข้าศึกมาถึงเข้า จะมิเสียทีแก่ข้าศึกหรือ

๑๒. ใครไม่หยุดไม่ถึงพระ

         คำที่ว่าหยุดนี้ไม่ได้หมายหยุดกายกรรม หยุดวจีกรรม หยุดมโนกรรม หมายเอาหยุดคิด หยุดนึก หยุดการส่ายหาพระภายนอกเท่านั้น ส่วนกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ฝ่ายทุจริตก็ชักสะพานเสียไม่ให้เดิน ให้อยู่กับสุจริตธรรมทุกเมื่อ ถึงแม้เราไม่ไปไหว้พระบาท พระฉาย หรือพระธาตุเจดีย์เมืองไหน ๆ ก็ตาม แต่ให้เข้าใจว่าไม่ใช่ไปหาพระภายนอกไป   แต่ไปบำรุงพระภายในนี้เองคือไปบำรุงทัสสนานุตริยะของตนนี้เอง เมื่อไปอย่างนี้เมื่อรู้อย่างนี้ถึงไปก็ได้ชื่อว่าหยุด และอยู่กับพระทุกเมื่อ
 

วัมมิกสูตร

 
                  สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน   อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี   เขตพระนครสาวัตถี.   ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระกุมารกัสสปะพักอยู่ที่ป่าอันธวัน.
 
                 ครั้งนั้น เทวดาองค์หนึ่ง มีวรรณงามยิ่ง เมื่อราตรีล่วงปฐมยามแล้ว  ยังป่าอันธวันทั้งสิ้นให้สว่าง  เข้าไปหาท่านพระกุมารกัสสปะถึงที่อยู่  ได้ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง   ได้กล่าวกะท่านพระกุมารกัสสปะดังนี้ว่า    ดูกรภิกษุ จอมปลวกนี้พ่นควันในกลางคืน ลุกโพลงในกลางวัน
 
พราหมณ์ได้กล่าวอย่างนี้ว่า   พ่อสุเมธะ    เจ้าจงเอาศาตราไปขุดดู.   สุเมธะเอาศาตราขุดลงไป ได้เห็นลิ่มสลักจึงเรียนว่า ลิ่มสลักขอรับ.
 
พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ   เจ้าจงยกลิ่มสลักขึ้นเอาศาตราขุดดู.      สุเมธะเอาศาตราขุดลงไป ได้เห็นอึ่ง จึงเรียนว่า อึ่งขอรับ.

พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะเจ้าจงยกอึ่งขึ้น เอาศาตราขุดดู. สุเมธะเอาศาตราขุดลง    ได้เห็นทาง ๒ แพร่ง    จึงเรียนว่า ทาง ๒ แพร่ง ขอรับ.

พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงก่นทาง ๒ แพร่งเสีย  เอาศาตราขุดดู. สุเมธะเอาศาตราขุดลงไป ได้เห็นหม้อกรองน้ำด่าง  จึงเรียนว่า หม้อกรองน้ำด่าง ขอรับ. 

 
พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า  พ่อสุเมธะ  เจ้าจงยกหม้อกรองน้ำด่างขึ้น เอาศาตราขุดลง. สุเมธะเอาศาตราขุดลงไป ได้เห็นเต่า จึงเรียนว่าเต่าขอรับ.

พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกเต่าขึ้น เอาศาตราขุดดู. สุเมธะเอาศาตราขุดลงไป    ได้เห็นเขียงหั่นเนื้อ     จึงเรียนว่า เขียงหั่นเนื้อ ขอรับ.

พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกเขียงหั่นเนื้อขึ้น  เอาศาตราขุดดู. สุเมธะเอาศาตราขุดลงไป ได้เห็นชิ้นเนื้อ จึงเรียนว่าชิ้นเนื้อ ขอรับ

พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า  พ่อสุเมธะ  เจ้าจงยกชิ้นเนื้อขึ้น เอาศาตราขุดดู.         สุเมธะเอาศาตราขุดลงไป   ได้เห็นนาค  จึงเรียนว่า  นาคขอรับ.

พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า นาคจงอยู่  เจ้าอย่าเบียดเบียนนาคเลย จงทำความนอบน้อม ต่อนาค.

        ดูกรภิกษุ ท่านพึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค แล้วทูล ถามปัญหา ๑๕ ข้อ   เหล่านี้แล   ท่านพึงทรงจำปัญหาเหล่านั้น   ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์

       ดูกรภิกษุข้าพเจ้า ย่อมไม่เห็นบุคคลในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ที่จะยังจิตให้ยินดีด้วยการพยากรณ์ปัญหาเหล่านี้ นอกจากพระตถาคต  หรือสาวกของพระตถาคต หรือเพราะฟังจากสำนักนี้. 

 
เทวดานั้นครั้นกล่าวคำนี้แล้ว ได้หายไปในที่นั้นแล.
       
       พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ปัญหา ๑๕ ข้อ       พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า

       ดูกรภิกษุ คำว่า จอมปลวก นั่นเป็นชื่อของกายนี้ อันประกอบด้วยมหาภูตรูปทั้ง ๔ ซึ่งมีมารดาบิดาเป็นแดนเกิด เจริญด้วยข้าวสุกและขนม  กุมมาส ไม่เที่ยง ต้องอบรม ต้องนวดฟั้น   มีอันทำลาย    และกระจัดกระจายไปเป็นธรรมดา.

      ปัญหาข้อว่า อย่างไรชื่อว่า พ่นควันในกลางคืน นั้น ดูกรภิกษุ ได้แก่การที่บุคคลปรารภการงานในกลางวัน   แล้วตรึกถึง ตรองถึงในกลางคืน นี้ชื่อว่าพ่นควันในกลางคืน.

       ปัญหาข้อว่า อย่างไรชื่อว่า  ลุกโพลงในกลางวัน นั้น   ดูกรภิกษุ ได้แก่การที่บุคคลตรึกถึงตรองถึง (การงาน) ในกลางคืน แล้วย่อมประกอบการงานในกลางวัน ด้วยกาย ด้วยวาจา นี้ชื่อว่าลุกโพลงในกลางวัน.

       ดูกรภิกษุ คำว่า พราหมณ์ นั้น เป็นชื่อของพระตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า.

คำว่า สุเมธะ นั้นเป็นชื่อของเสขภิกษุ.

คำว่า ศาตรา นั้นเป็นชื่อของปัญญาอันประเสริฐ.

คำว่า จงขุด นั้นเป็นชื่อของการปรารภความเพียร.

คำว่า ลิ่มสลัก นั้น เป็นชื่อของอวิชชา. คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดั่งศาตรา  ยกลิ่มสลักขึ้น คือจงละอวิชชาเสีย จงขุดมันขึ้นเสีย.

        คำว่า อึ่งนั้น เป็นชื่อแห่งความคับแค้นด้วยสามารถความโกรธ.  คำนั้นมีอธิบาย ดังนี้ว่าพ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดั่งศาตรา ยกอึ่งขึ้นเสีย คือจงละความคับแค้นด้วยสามารถความโกรธเสีย จงขุดมันเสีย.

        คำว่า ทาง ๒ แพร่งนั้น เป็นชื่อแห่งวิจิกิจฉา.     คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า   พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดังศาตราก่นทาง ๒ แพร่งเสีย  คือ จงละวิจิกิจฉาเสีย จงขุดมันเสีย 

        คำว่า หม้อกรองน้ำด่างนั้น   เป็นชื่อของนิวรณ์ ๕ คือ กามฉันทนิวรณ์ พยาบาทนิวรณ์  ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ วิจิกิจฉานิวรณ์. คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดังศาตรา ยกหม้อกรองน้ำด่างขึ้นเสีย คือจงละนิวรณ์ ๕ เสียจงขุดขึ้นเสีย.

          คำว่า เต่านั้น เป็นชื่อของอุปาทานขันธ์ ๕ คือ รูปูปาทานขันธ์  เวทนูปาทานขันธ์   สัญญูปาทาน   ขันธ์สังขารูปาทานขันธ์  วิญญาณูปาทานขันธ์. คำนั้นมีอธิบายดังนี้ พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดังศาตรายกเต่าขึ้นเสียคือ จงละอุปาทานขันธ์ ๕ เสีย จงขุดขึ้นเสีย.

           คำว่า เขียงหั่นเนื้อนั้น  เป็นชื่อของกามคุณ ๕ คือ   รูปอันจะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ   เป็นรูปที่น่ารัก   ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด  เสียงอันจะพึงรู้แจ้งด้วยโสต  กลิ่นอันจะพึงรู้แจ้งด้วยฆานะ … รสอันจะพึงรู้แจ้งด้วยชิวหา …    โผฏฐัพพะอันจะพึงรู้แจ้งด้วยกายน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นรูปที่น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด.คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดังศาตรา ยกเขียงหั่นเนื้อเสีย คือ จงละกามคุณ ๕ เสีย จงขุดขึ้นเสีย.

            คำว่า ชิ้นเนื้อนั้น เป็นชื่อของนันทิราคะ. คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดังศาตรา ยกชิ้นเนื้อขึ้นเสีย คือ จงละนันทิราคะ จงขุดขึ้นเสีย 

            คำว่า นาคนั้น เป็นชื่อของภิกษุผู้ขีณาสพ     คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า  นาคจงหยุดอยู่เถิดเจ้าอย่าเบียดเบียนนาค จงทำความนอบน้อมต่อนาคดังนี้.     

          พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว   ท่านพระกุมารกัสสปะ มีใจชื่นชม เพลิด เพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล.  

Previous Older Entries

ตุลาคม 2009
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031  

คลังเก็บ