การลงทุน

การทำความเพียรของแต่ละคน ขึ้นอยู่กับ เหตุปัจจัยที่มีอยู่
และที่กำลังทำให้เกิดขึ้นใหม่ ทุกๆ ขณะ ที่เกิดจาก ผัสสะ เป็นเหตุปัจจัย

การทำความเพียร เปรียบเสมือนกับการลงทุน ลงทุนมาก น้อยแค่ไหน ผลกำไรที่จะได้ ก็ตามที่ลงทุนไป

แต่ไม่ต้องกังวล เพราะเหตุปัจจัยที้งหมด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการทำความเพียรอย่างเดียว

ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับ การหยุดสร้างเหตุนอกตัวด้วย หากทำทั้งสองทาง เดี๋ยวสภาวะจัดสรรให้เอง

การสร้างเหตุ ของการลงทุน ในการทำความเพียรมากหรือน้อย สติและสมาธิ ที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน ขณะ ในแต่ละ ขณะ ย่อมเกิดขึ้นมาก หรือ น้อย ตามเหตุที่กระทำ

เมื่อมีผัสสะเกิด สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด จะมีสติ ทันหรือไม่ทัน ขึ้นอยู่กับการทำความเพียร ที่ทำอยู่ด้วย

เพราะ สติ ช่วยในการระลึกรู้อยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น ช่วยกดข่มในการสร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น

กำลังสมาธิ ช่วยบดบังสภาวะกิเลส ที่กำลังเกิดขึ้น แทนที่จะเกิดแบบรุนแรง ถึงขั้นต้องสร้างเหตุ กลับกลายว่า กำลังสมาธิที่เกิดขึ้น เป็นตัวช่วย ทำให้กิเลสที่เกิดขึ้น จากหนัก เป็นเบา

เพราะเหตุนี้ จึงสามารถหยุดการสร้างเหตุนอกตัว ที่เกิดจาก ผัสสะ เป็นเหตุปัจจัย หยุดได้ทันมากขึ้น

น่าเบื่อ

๓๐ มีค.๕๗

บางครั้ง เรื่องราวของปริยัติ ก็เป็นเรื่องน่าเบื่อ สำหรับวลัยพรนะ

คือ บางที มีความรู้สึกประมาณนี้ ไม่อยากนึกคิดอะไร ไม่อยากเขียนอะไร มีนะ

เจ้านายทวงเรื่อง ที่เคยเขียนไว้ ให้แปลไทยเป็นไทย(ขนาดเขียนภาษาไทย ยังต้องแปลเป็นไทยอีกที คือ ให้เขียนตัวสภาวะ ลักษณะอาการที่เกิดขึ้น สำทับลงไปอีกที)

ก็บอกไปว่า แล้วจะเขียนให้(ตอบแบบขอไปที ผ่านๆไปก่อน ถ้ามีเหตุต้องให้เขียน เดี่ยวเขียนเอง แต่ตอนนี้ ไม่อยากเขียน)

มีเหตุ

เมื่อยังมีเหตุต้องให้เขียนอยู่ จะมีเหตุปัจจัย ให้ได้รู้ และนำมาเขียน

ตัวแสบ

๓๐ มีค.๕๗

วลัยพร เป็นผู้ไม่ปกปิดตนเอง มีสภาวะใดเกิดขึ้น เล่าให้เจ้านายฟังหมด และเขียนเล่าตรงนี้ด้วย นำไปลงในบล็อกด้วย

เพราะ ทุกคน ต้องเจอสภาวะที่วลัยพร ขีดเขียนไว้ทุกคน มียกเว้นเรื่อง สภาวะนิพพาน กับ สภาวะปฏิจจสมุปบาท เป็นเรื่องของ เหตุปัจจัยของแต่ละคน ที่จะได้รู้ แต่ไม่สามรถรู้ได้ทุกคน

ที่เกริ่นว่า ตัวแสบ นี่หมายถึง กิเลส ช่างแสบสันต์ จริงๆ

เล่าให้เจ้านายฟังว่า ระหว่างตักน้ำทีรองไว้ใส่ถัง มีการคิดพิจรณาเกิดขึ้นระหว่างตักน้ำ

จิตตัวหนึ่งบอกว่า มาทำให้ลำบากทำไม(เหตุจาก ใครๆก็ชอบความสบาย) เสียค่าน้ำเพิ่มไม่กี่บาท สบายแล้ว

ซักผ้าเหมือนกัน มานั่งซักมืออยู่ได้ เครื่องซักผ้าก็มี มาเสียแรง เสียทั้งเวลาอยู่ได้ แถมเหนื่อยอีกต่างหาก

จิตอีกตัวหนึ่งบอกว่า เงินเล็ก เงินน้อย สะสมไป ก็เงิน อีกอย่าง ที่ทำแบบนี้ทุกวัน ได้ออกกำลังด้วย สมาธิก็ได้ ไม่เห็นจะเสียเวลาตรงไหน

ความคิดทั้งหมดที่เกิดขึ้น ดับหายไป หลังจากนั้น เล่าให้เจ้านายฟัง บอกว่า เจออีกละ สภาวะมาสนับสนุนให้ขี้เกียจ ให้เอาแต่ความสบาย

เขาถามว่า เป็นยังไงเหรอ

เราก็เล่าให้เขาฟัง เรื่องจิตสองตัวเถียงกัน พร้อมกับบอกว่า เมื่อก่อน ตอนแรกที่เริ่มทำแบบนี้ มีนะ ไม่ชอบใจ แต่ความเสียดายค่าน้ำ ค่าไฟ ที่จ่ายไปโดยไม่จำเป็น

บางครั้ง มีหงุดหงิดตอนตี ๓ ที่ลุกมาปิดแอร์ และออกไปหลังห้อง ตักน้ำที่รองไว้ ใส่ถัง

ความรู้สึกแรกเริ่มจะเป็นแบบนั้น แต่ตอนนี้ไม่เป็นนะ เพราะไม่ว่าจะทำอะไร จิตมักเป็นสมาธิเนืองๆ ถึงจะตื่นขึ้นมาแล้ว หรือ ยังมีง่วงอยู่ก้ตาม

อารมณ์ที่เคยหงุดหงิด แบบเมื่อแรกๆ ไม่มี ส่วนมากจะสงบ ตักน้ำก็สงบ รู้ชัดว่า สมาธิเกิดอยู่ ไปนอนต่อ จิตยังเป็นสมาธิ จนกระทั่งรู้สึกวูบลงไปเอง

บอกกับเจ้านายว่า คนเรานี่รักสบายนะ กิเลสชอบมาทดสอบอยู่เรื่อย มาแบบไม่ตั้งตัว มาสอบอารมณ์ว่า ยังติดเรื่อง ชอบความสบายอยู่อีกไหม

ตอนนี้ใจไม่มีนะ เพราะรู้ว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยที่มีอยู่ และที่ทำให้เกิดขึ้นใหม่

เมื่อรู้ดังนี้แล้ว ยอมรับสภาวะต่างๆมากขึ้น คือ ยอมรับสภาพ ไม่คิดต่อต้านแบบตอนแรกๆ แค่รู้ว่ามี แต่ไม่เอาเป็นอารมณ์แบบก่อนๆ

เศร้าแว๊บๆ

๒๙ มีค.๕๗

ไม่ว่าจะนั่งสมาธิ หรือ ไม่นั่งสมาธิ หรือกำลังทำอะไรอยู่ แล้วมีจิตคิดพิจรณา มักมีภาพ เหตุการณ์ต่างๆ ในอดีตผุดขึ้นมา บางครั้ง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน ก็มี ยุคไหน สมัยไหน ก็ไม่รู้ ก็มี พักนี้เกิดขึ้นบ่อย

เห็นภาพต่างๆเหล่านั้น รู้สึกเศร้าใจ เหตุของอวิชชานี่ น่ากลัวจริงหนอ กิเลสที่เกิดขึ้น หากไม่รู้ทัน หากสติไม่ทัน ความเกิดขึ้นแห่งภพทั้งปวง เกิดขึ้นทันที

ภพชาติของการเกิด และ การเวียนว่ายตายเกิด น่ากลัวจริงหนอ

เห็นความน่ากลัว ของเหตุอวิชชาที่มีอยู่ ทำให้รู้สึกเศร้าใจ และเข้าใจในความไม่รู้ของผู้อื่น ที่ยังมีเหตุปัจจัยร่วมกับเรา และที่ยังกระทำกับเราอยู่ มากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่เหตุปัจจัย

หลีกยังไง ก็ไม่พ้น หนียังไง ก็หนีไม่พ้น ตราบใดที่ยังมีเหตุอยู่ ผลย่อมมี

นี่แหละหนอ เหตุของอวิชชา ความไม่รู้ที่ยังมีอยู่

นี่แหละหนอ เหตุของวิชชา ที่เกิดขึ้น เหตุปัจจัยของการสร้างเหตุให้เกิดขึ้นใหม่ ในแต่ละขณะๆ (ผัสสะ) ที่เกิดจากแรงผลักดันของกิเลส ย่อมลดน้อยลง

ที่เหลือ ขึ้นอยู่กับกำลังของสติ ความอดทน อดกลั้น กดข่มใจ ไม่ให้ก้าวล่วงออกไป หยุดได้ทัน เหตุของการเกิดภพชาติใหม่ ย่อมสั้นลง

ให้คิดก่อนทำ

๒๘ มีค.๕๗

เคยเจอบางคน ชอบทัวร์บุญ ตระเวญทำบุญ บางครั้งก็พาคนนั้น คนนี้ไปเลี้ยงข้าว เที่ยวดูหนัง หรือ ตามสถานบันเทิงต่างๆ หรือแม้กระทั่ง ทำกับตัวเองก็ตาม

วลัยพรเคยถามว่า ให้เงินพ่อแม่บ้างไหม

คำตอบกลับมาคือ ตัวเองเงินเดือนน้อย ทุกวันนี้ ยังต้องพึ่งพ่อแม่ ยังอาศัยพ่อแม่กิน แทบจะไม่เคยให้เงินพ่อแม่เลย ก็ว่าได้

ทีเรื่องนอกตัว เสียเท่าไหร่เท่ากัน ขอแค่ได้สิ่งที่ตนเองต้องการ มีแต่ตัณหา ความทะยานอยาก

อันนี้พูดให้คิดนะ

การทำบุญ ทุกคนคิดว่า ทำแล้วได้บุญ แต่กลับทอดทิ้งบุพการี ทอดทิ้งยังไม่พอ ยังมีเบียดเบียนบุพารี กลับไปวิ่งเร่ ทำบุญนอกตัว ที่กับบุพการี บุญใกล้ตัวแท้ๆ ไม่ต้องวิ่งเร่ หาแหล่งทำ นี่แหละเหตุของอวิชชาที่มีอยู่

แม้กระทั่ง การทำบุญ ที่ใช้แรงกาย แรงใจ ไม่เสียค่าใช้จ่ายสักบาทเดียว และสามารถตอบแทนบุพการี ที่เลี้ยงมา ซึ่งหาได้ในกายและจิตของตัวเอง ไม่คิดอยากจะทำ มีแต่ผลัดวันประกันพรุ่ง มีแต่ข้ออ้าง พอเจอทุกข์ที ถึงจะทำ พอทุกข์หาย วิ่งเร่เสียทรัพย์อีกแล้ว

ที่เหตุนอกตัว วิ่งเร่ไปวัดโน้นวันนี้ เขาว่าดี เขาว่ามีพิธีกรรมต่างๆ ลงคาถามอาคม มีสแกนกรรม มีแต่เหตุของการเสียทั้งทรัพย์ ทั้งเวลา ทั้งหมกมุ่นกับเรื่องพวกนี้ นี่แหละเหตุของอวิชชาที่มีอยู่

เล่า ไม่ใช่ สอน

๒๘ มีค.๕๗

สภาวะช่วงๆหลัง รู้ชัดรายละเอียดทั้งภาคปริยัติ ในคำเรียกต่างๆ ทั้งภาคสภาวะ คือ สภาวะที่เกิดขึ้น ของคำเรียกนั้นๆ

จากความรู้ชัดรายละเอียด ทั้งภาคปริยัติ(มีเหตุให้รู้) และ ภาคสภาวะ(ที่พบเจอมา) เป็นเหตุให้ ไม่มีความรู้สึก หรือ คิดจะสอนใครๆ

เพราะไม่จำเป็นต้องสอน สิ่งที่ควรทำ ก็บอกประจำอยู่แล้วว่า ควรทำกันอย่างไร จึงจะทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้

ที่เกินจากนั้น เรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตของแต่ละคน เกิดจากเหตุปัจจัยที่มีอยู่ และที่สร้างให้เกิดขึ้นใหม่ ทุกๆขณะ เหตุจาก ความไม่รู้ที่มีอยู่

แม้กระทั่ง การให้คำแนะนำ แบบตัวต่อตัว เริ่มลดน้อยลง ส่วนมาก จะแนะนไปว่า ให้ไปอ่านในบล็อก ที่วลัยพรเขียนไว้ ส่วนมาก ที่ถามๆกันมา มีเขียนไว้หมดแล้ว บางเรื่อง ยังไม่ได้เขียน ก้มีเหตุให้ต้องเขียน

วลัยพรมีหน้าที่ บอกเล่าเรื่องราวสภาวะต่างๆ บอกผ่านทางตัวหนังสือ เกี่ยวกับ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตของตัวเอง ตามความเป็นจริง

เรื่องราวต่างๆ จะถูกขีดเขียนออกมา แล้วแต่ว่า เป็นเหตุปัจจัยสภาวะใด ที่ต้องทำให้เขียน แม้บางเรื่อง ไม่อยากเขียน ก็ต้องเขียน เพื่อช่วยบรรเทาทุกข์ทางใจ ให้คนอื่นๆได้ เป็นเรื่องปกติของคนทั่วๆไป ที่ชอบเปรียบเทียบ พอเห็นทุกข์ของคนอื่นมากกว่า ที่คิดว่าทุกข์ จะลดลง

หรือทำให้เห็นว่า ยังมีคนที่เจอแบบตัวเองมาแล้ว และเขาผ่านสิ่งเหล่านั้น มาด้วยวิธีไหน แล้วแต่เหตุปัจจัยนะ

ทุกข์

๒๘ มีค.๕๗

ทุกข์ของแต่ละคน ที่เกิดขึ้น แตกต่างกันไป ตามเหตุปัจจัยที่มีอยู่ และที่กำลังจะสร้าง ให้เกิดขึ้นใหม่ ทุกๆ ขณะ ที่เกิดจาก ความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้นๆ (ผัสะ)

แปลก แต่ จริง

เห็นความแตกต่างของสภาวะหนึ่ง คือ เห็นทุกข์ ที่ตัวเอง กำลังเป็นอยู่

ถึงเวลาเช้า ต้องตื่นขึ้นมาทำกิจวัตร ประจำวัน ก็ทุกข์นะ ใจคิดว่า เช้าอีกแล้วเหรอ

ถึงเวลากินข้าว จะมีอาการปวดท้องเตือน เพราะ ไม่อยากกินข้าว ก็ทุกข์นะ
ใจก็คิด ถึงเวลา ที่จะต้องกินข้าว อีกแล้วเหรอ

ถึงเวลา ต้องขับถ่าย ก็ทุกข์นะ
ใจก็คิด กินแล้วก็ถ่าย ระบบของร่างกาย มีแค่นี้เอง

ถึงเวลานอน ก็ทุกข์นะ
ใจก็คิด ต้องนอน อีกแล้วเหรอ

ชีวิต น่าเบื่อชะมัด เดิมๆ ซ้ำๆ

มีบางสิ่ง ที่ไม่ทำให้ทุกข์ มีแต่ทำแล้ว สงบ

เวลาทำงานบ้าน หรือ ทำกิจอื่นๆ เช่น ยืนเย็บผ้า หรือ การทำความเพียร ในอริยาบทต่างๆ

ไม่เคยมีความคิดว่า ถึงเวลาที่ต้องทำ อีกแล้วเหรอ คือ ไม่มีจริงๆ

เวลาทำงาน จิตจะสงบ รู้อยู่กับงานที่ทำ
บางวัน ไม่อยากไปตลาด เพราะ ใจสงบมาก ไม่อยากไปไหน แต่ต้องออกไป

เพราะ หน้าที่ ที่ต้องดูแล อาหาร การกิน ของคนในครอบครัวนั้น ยังมีอยู่ อะไรที่จำเป็น จึงจะออก ถ้าไม่เร่งด่วน รอได้ จะไม่ออก

การสนทนา

บางครั้ง น้องๆติดขัด เรื่องการดำเนินชีวิต วลัยพรไม่ค่อยได้คุยด้วย ส่วนมากจะแนะนำไปว่า ไปอ่านในบล็อกที่วลัยพรเขียนไว้เถอะ เรื่องที่ถามมาทั้งหมด มีเขียนไว้หมดแล้ว

คือ คำถามส่วนมาก เรื่องเดิมๆซ้ำๆ ถึงแม้ สิ่งที่แต่ละคน พบเจอนั้น อาจจะเปลี่ยนสภาพไป(สิ่งที่เกิดขึ้น)

แต่ดูให้ดีๆเถอะ ตั้งสติดู อย่าไปโอดครวญ อย่าไปโทษใคร แม้กระทั่งโชคชะตา

คิดทบทวน ดูให้ดีๆ สิ่งที่เกิดขึ้น ถึงจะมีเหตุการร์แตกต่างกันไป แต่ทำไม ความรู้สึกนึกคิด จึงเวียนวน เดิมๆซ้ำๆ เหมือนการย้ำคิด

จริงๆแล้ว เป็นเรื่องของ กิเลส ที่ยังมีอยู่ เรามีหน้าที่ คือ รู้ว่ามี รู้ว่า คิด รู้ว่า รู้สึกอย่างไร รู้ไปตามนั้น อย่าไปใส่คำเรียกต่างๆลงไป

การทำแบบนั้น เท่ากันการทับถมกิเลส ลงไปอีก คือ มีปรุงแต่งอยู่แล้ว ตามอุปทานที่มีอยู่ ยังไม่พอ ยังจะเติมการปรุงแต่งของคำเรียกต่างๆ ลงไปอีก

ก็แค่รู้ไปปกติ รู้ว่ามี รู้แค่นี้ แล้วอย่าไปกล่าวโทษนอกตัว โทษคนนั้น คนนี้ เพราะสิ่งนั้น สิ่งนี้ เท่ากับเป้นการสร้างเหตุทางมโนกรรม ให้เกิดขึ้นใหม่

เมื่อภพมี ชาติ ชรา มรณะ ทุกขโทมนัส โสกะ ปริเทวะ ย่อมมีเกิดขึ้น ตามเหตุปัจจัย ต้องโทษตัวเอง เหตุของความไม่รู้ที่มีอยู่ จึงหลงสร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้น เดิมๆซ้ำๆ แต่ดูไม่ออก เพราะ ยังหยุดรู้ เฉพาะที่ตัวเอง ยังไม่ได้

ตกงาน

วลัยพรเคยตกงาน ไม่ได้ทำงานหลายปี เหตุจาก ถูกกดราคา จากค่าจ้างวันละ ๕๐๐ บาท/๘ ชม. จะให้วันละ ๓๐๐ บาท/๘ ชม. ก็ยอมตกงาน เพราะรับแล้วไม่คุ้ม ไหนจะค่าเดินทางไกล ไกลจริงๆนะ ถ้าระยะจากปากน้ำ ถึงวัดด่าน ยังพอจะรับได้ นี่เลยไปโน่น นิคมอุตสาหกรรมบางปู บางที่ ไปทางคลองด่าน บางที่ไปบางนา ให้ ๕๐๐ บาท ก็ไม่ไป เพราะ การเดินทาง มีความเสี่ยงสูง รถเยอะ ตอนนั้นตัวเองยังใช้มอไซค์อยู่

เมื่อหางานประจำทำ ยังไม่ได้ ลองค้าขายดู ผลคือ เจ๊งเป็นแสน เพราะ ไม่มีพื้นฐานด้านขายอาหาร ตักไม่เป็น ให้มาก จึงขาดทุน

ถึงแม้มีเหตุการณ์แบบนี้ ทั้งทุกข์ และท้อ แต่ไม่เคยถอยต่อ การทำความเพียร ยิ่งช่วงเจ๊งจากค้าขาย ทำความเพียรแบบ หามรุ่งหามค่ำ ก็ไม่มีทางให้ไปแล้วนี่ รู้แค่ว่า ทำแบบนี้ ชีวิตต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน

ทำทั้งน้ำตา น้ำตานองหน้าทุกวัน น้อยใจกับโชคชะตาของตัวเอง เดินจงกรมพร้อมกับสะอื้นไปด้วย สวดมนต์พร้อมกับร้องไห้ไปด้วย ทุกข์จริงๆ แต่ความทุกข์ ไม่ทำให้ให้ท้อถอยต่อการปฏิบัติ

มีสร้างเหตุด้วย ตอนนั้นยังไม่รู้ ขนาดเอาตัวเองยังไม่รอด มีนะยุ่งเรื่องของชาวบ้าน ใครมาถามเรื่องการปฏิบัติ แนะนำไปทั่ว เรื่องอะไรๆๆ ต่อมิอะไร แนะนำหมด ผลคือ เจอแต่สิ่งที่ทำให้ทุกข์หนักกว่าเก่า

มีเหตุนะ

ผลของการทำความเพียรแบบหนัก คงถึงเวลาที่ มีเหตุให้ หยุดสร้างเหตุนอกตัว ที่ยังหลงทำอยู่

มีคนเมา(สนิทกันนะ) ยืนด่าหน้าบ้าน ด่าเป็นชม. เขาพูดสิ่งที่คิดไว้ในใจทั้งหมด

จากเรื่องตรงนั้น ยังไม่จบ โดนชาวบ้านนินทา แล้วเราไปได้ยิน โดยเขาไม่รู้กัน

ทีนี้ทำไงล่ะ ไม่สนใจแล้ว ไม่มีใครจริงใจสักคน ต่อหน้าพูดยกยอปอปั้นเราสารพัด แท้จริง เป็นเรื่องผลประโยชน์ ที่เราทำให้เขาได้ เลิกคบหมดเลยนะ เจอหน้าไม่มั่วสุม แค่ทักทายนิดหน่อย แล้วกลับเข้าบ้าน มุ่งทำความเพียรอย่างเดียว

ต่อมมา มีคนติดต่องานมาให้ ไม่รู้จักกัน แต่เขาได้เบอร์โทรมาจาก เพื่อนที่เคยทำงานด้วยกัน

ชีวิตดีขึ้น

แรกๆ ไปแทนเขา ค่าจ้างวันละ ๕๐๐ บาท/๘ ชม. ห้องทำงานติดแอร์ สัปปายะถูกจริตตัวเอง สมาธิเกิดง่าย

มีหวาดเสียว

ช่วงนั้น ทำกันเป็นทีม มีหน.ทีม จัดตารางงานให้ ได้มีรายได้ ๓๐๐๐-๔๐๐๐ บาท พอจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ (อยู่กับรุ่นน้อง หารคนละครึ่ง พันกว่าบาท) ทำให้เริ่มมีความเป็นอยู่ ที่สบายมากขึ้น(ข้าวซื้อไปกินเอง แกงหน้าบ้าน ถุงละ ๒๐ บาท กินในห้องทำงาน)

ต่อมา บริษัทอีกที่ของหน.ทีม เขาจ้างทีมใหม่ ทีนี้ทีมที่ทำงานในบริษัทนั้น จะมาลงที่เราทำอยู่ เท่ากับมีคนเพิ่มขึ้นอีก ๔ คน แล้วจะได้คนละกี่วันกันล่ะ

ทุกข์มาอีกแล้ว ใจก็คิดว่า ทำยังไงดี รายได้หารออกมาตาจำนวนคนแล้ว ได้ไม่กี่บาท คงต้องหาที่อื่นเพิ่ม

ตอนที่ทำงานอยู่ วลัยพร ทำกรรมฐานที่นั่น ที่ห้องทำงานน่ะแหละ บางวันอยู่ถึงทุ่ม(สภาวะดี) จึงจะกลับก็มี ทำแบบนี้มาตลอด

ที่บริษัทนั้น ระหว่างนั่งสมาธิอยู่ พบเจออะไรมากมาย บางครั้ง มีบางสิ่ง มานั่งขัดสมาธิ ตรงหน้า เราลืมตาขึ้นมา ป๊ะสายตากันทันที

ก็หลับตาลง พร้อมกับบอกว่า อย่ามาแบบนี้ อย่ามาให้เห็น ไม่อยากเห็น แค่รู้ว่ามี ก็พอแล้ว ทำกรรมฐานต่อ แผ่เมตตา กรวดน้ำเสร็จ ลืมตาอีกที หายไปแล้ว

ย้อนกลับไปเรื่องงาน มีเหตุนะ พวกที่จะมาเพิ่ม ต่างได้งานที่อื่นกัน บางคนไปเรียนต่อ

ส่วนคนที่เหลืออยู่ โดนผีหลอก บางคนโดนบีบคอ เห็นหน้าตากันแบบจะๆ ทุกคนกลัว เลยไม่มากันอีก เหลือวลัยพรทำคนเดียว

หลังจากนั้นมา สภาวะการปฏิบัติ และการดำเนินชีวิต มีแต่ความก้าวหน้า ไม่มีถอยหลัง ชีวิตไม่ต้องอยู่ร้อนนอนทุกข์ แบบก่อนๆ

เจอเจ้านาย

ก่อนที่บริษัทจะเกิดปัญหา แล้วมีเหตุให้เลิกจ้าง มีเหตุให้เจอกับเจ้านายก่อน ที่จะมีเรื่องไม่ต่อสัญญาว่าจ้าง

พอมาอยู่กับเจ้านายประมาณ ๑หรือ ๒ ปี(จำไม่ได้ ขี้เกียจย้อนไปหาอ่านในบล็อก) บริษัทขาดทุน เริ่มประหยัดค่าใช้จ่ายทุกทาง เราถูกย้ายห้องทำงาน ให้ไปนั่งรวมกับฝ่ายบุคคล จนกระทั่งเลิกต่อสัญญา

ไม่อยากได้

หนซทีม ชวนไปทำงานแถวอยุทธยา รายได้วันละ ๑๐๐๐ บาท ให้ไปเป็นอาทิตย์ มีที่พักพร้อม อาหารหากินเอง

เราคุยกับเจ้านายว่า ไม่อยากทำงานแล้ว ถึงจะมีรายได้วันละ ๑๐๐๐ บาท ก็ไม่อยากได้ อยากทำความเพียรมากกว่า

เจ้านายบอกว่า ก็ไม่ต้องทำ อยู่ห้องนี่แหละ ทำงานบ้านไป เขารับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆเอง

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนมีเหตุนะ

ช่วงที่ทำงานอยู่ ตอนอยู่กับเจ้าใหม่ๆ ทำให้รู้ชัดสภาวะกิเลสต่างๆ ที่ยังมีอยู่มากขึ้น เหตุจาก เริ่มแรกอยู่ด้วยกัน เจ้านายไม่เคยให้เงิน ค่าใช้จ่ายภายในบ้าน อาหารการกินทั้งหมด วลัยพรเป็นคนจ่าย เริ่มเป็นหนี้บัตรเครดิต เห็นหนี้ แล้วหงุดหงิด ไหนจะงานบ้าน ไหนจะซักผ้า ที่ทำได้เฉพาะวันอาทิตย์(หยุด)

ประทุภายใน ภายนอกเงียบ

ความรู้สึกช่วงนั้น สุดๆ คิดแค่ว่า ต้องอดทน เพราะรู้ดีว่า ถ้าเหตุยังมี ผลย่อมมี ไม่เคยคิดทิ้งเขาไป

เจ้านายเอง มีเหตุให้พบเจอกับเรา และมาอยู่ด้วยกันแบบเฉียดฉิว เส้นยาแดงผ่าแปด

ช่วงนั้น เขาให้ความช่วยเหลือผู้หญิงคนหนึ่ง ที่รู้จักกันทางเนต เคยเจอตัวจริงครั้งเดียว เขาให้ความช่วยเหลือเรื่องเงินมาตลอด(ตอนเจอกันใหม่ๆ ผู้หญิงคนนั้น ยังโสด)

ยังมีต่อ

ความคลั่งแห่งลัทธิ

๒๘ มีค.๕๗

มีคำถาม ถามเกี่ยวกับเงินทำบุญ แล้วพระนำไปทำบุญ กับคนในครอบครัวต่อ

เมื่อมีการทำบุญ ในกิจกรรมอื่นๆ คนในครอบครัวของพระ นำเงินที่พระให้ไปมาทำบุญ และใช้ชื่อของตัวเอง

ถามมาว่า พระรูปนั้น ทำบาปไหม และ โยมที่ให้เงินไป จะได้บุญไหม

คำตอบ รู้สึกว่า คำถามที่นำมาถาม เคยอ่านเจอในเนต ไม่รู้ว่าจะใช่คู่กรณีเดียวกันไหม เอาเป็นว่า คำตอบนี้ ไม่ได้หมายเจาะจงถึงผู้ใด เป็นกรณีพิเศษ แต่จะตอบตามหลักของ เหตุที่กระทำ และ เหตุปัจจัย ที่มีต่อกัน ของทั้งสองฝ่าย

กรณีของโยม ไม่ว่าโยมจะถวายเงินให้กับพระ ด้วยจิตอันใดก็ตาม โยมย่อมได้รับผลตามนั้น

หากโยมถวายเงิน เพราะ ความศรัทธา ในคำทำนายของพระ ทำนองว่า โยมนั้น เป็นโสดาบัน และโยมนั้น เชื่อว่า พระรูปนี้นั้น ต้องเป็นพระอริยะ(อรหันต์ ตามที่พระอวดตน) อย่างแน่นอน โยมจึงถวายเงินนั้น

หากเป็นกรณีนี้ ถ้าเปรียบเทียบกับทางโลก เหมือนเป็นการซื้อตำแหน่งหน้าที่การงาน ประมาณว่า ถ้าได้ตำแหน่งนี้ จะได้ทำงานแบบนี้ โยมเต็มใจ ให้เงินซื้อตำแหน่งนั้นเอง

ผลคือ

หากถวายเงินด้วยความศรัทธา เงินที่พระรับไป พระจะนำไปทำอะไร ก็เรื่องของพระ โยมไม่ใส่ใจ

หากแม้ เงินนั้น พระนำไปทำกิจอื่นๆ และใช้ชื่อของคนในครอบครัว ในการทำกิจนั้นๆ โดยไม่ใช้ชื่อโยม ที่เป็นคนมอบเงินให้

จากเหตุนี้ ถ้าโยมมีอาการเดือดปุดๆ ไม่พอใจ ที่พระทำแบบนั้น
นั่นแสดงว่า ใจโยมไม่สะอาด ในการถวายเงินนั้น

เพราะถ้าให้ด้วยใจสะอาด พระจะนำเงินนั้น ไปทำอะไร หรือใช้ชื่อใคร ไม่มาสนใจหรอก คือ ให้แล้วให้เลย จบตรงนั้น

กรณีพระ จะได้รับผลอันใด จากการสร้างเหตุนี้ คือ เที่ยวทำนายทายทัก คนนั้นคนนี้ เป็นโสดาบันบ้าง เป็นสกิทาคาบ้าง หรือ เป็นพระอริยะอื่นๆบ้าง ที่เป็นเหตุปัจจัยของ แหล่งอามิสบูชา ที่หลั่งไหลเข้ามา จากผู้ที่มีเหตุปัจจัยร่วมกัน

กรณีนี้ พระรูปนี้ ย่อมยังมีเหตุแห่งภพ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ทั้งภพชาติปัจจุบัน และ ภพชาติของการเวียนว่ายตายเกิด ในวัฏฏสงสาร

แต่มีอีกกรณีหนึ่ง หากพระรูปนี้ สร้างเหตุการทำนายทายทัก ตามทิฏฐิของตนที่มีอยู่ แต่ไม่ได้มุ่งหวังเรื่อง อามิสบูชาที่ตามมา จากผู้ที่มีเหตุปัจจัยร่วม

ในกรณีนี้ พระรูปนี้ ย่อมติดอยู่ในสภาวะอุปกิเลส เหตุจาก เหตุของอวิชชาที่มีอยู่ ส่วนจะติดกับสภาวะอุปกิเลสนี้ เนิ่นนานแค่ไหน ขึ้นอยู่หกับ เหตุปัจจัยที่มีอยู่ และที่กำลังสร้างให้เกิดขึ้นใหม่ ทุกๆ ขณะ ที่ผัสสะ เกิดขึ้น ทั้งภายนอก และภายใน

ถ้าถามว่า แล้วโยมจะได้บุญไหม และพระจะบาปไหม

คำตอบ เรื่องบุญ บาป เป็นเรื่องของ อวิชชาที่มีอยู่ ไม่มีใครได้บุญ ไม่มีใครบาป

แต่ขึ้นอยู่กับ สร้างเหตุอย่างไร ผลจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับจิต ขณะนั้น ขณะที่กำลังสร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น

อย่ากล่าวโทษผู้อื่น แต่จงกล่าวโทษตัวเอง

สภาวะที่เกิดขึ้นนี้ ล้วนเกิดจาก เหตุปัจจัยที่มีอยู่ และ เหตุที่ทำให้เกิดขึ้นใหม่ ของทั้งสองฝ่าย

หมายเหตุ:

ที่ใช้ชื่อว่า ความคลั่งแห่งลัทธิ คือ ตอนนี้ มีหลายสำนัก ที่มีพฤติกรรมแบบนี้ การทำนายทายทัก การแต่งตั้งทั้งตนเอง และ ผู้อื่น

ทำนองว่า ครูอาจารย์ ของตนเอง หรือ ตัวเอง หรือ คนนั้น คนนี้ เป็นอริยะบุคคล ที่มีคำเรียกตามพระไตรปิฎก จึงเป็นแหล่งที่มาของอามิสบูชา

อันนี้ว่ากันไม่ได้หรอก เพราะเกิดจากเหตุปัจจัย ที่มีต่อกัน และ เหตุของอวิชชา ที่มีอยู่ ของทั้งสองฝ่าย ที่ยังหลงสร้างให้เกิดขึ้นใหม่

มีน้องๆ หลายๆคน ที่มาขอคำปรึกษาเรื่อง การทำบุญ บางคนถวายเงินเป็นจำนวนมาก

ได้บอกกับน้องๆไปว่า ไม่ว่า ใครจะทำบุญแบบไหน เช่น เรื่องเงิน หากเจอพระรูปนั้น นำเงินนั้น ไปใช้ในทางที่ทำให้ตนเอง เกิดความรู้สึกนึกคิดใดๆก็ตาม

หากมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ให้กลับมาแก้ในเหตุที่ตนมีอยู่ ไม่ใช่ไปกล่าวโทษพระ

แก้ยังไง คือ ให้จำไว้ว่า ถวายเงินไปแล้ว ทำให้เหตุแบบนี้เกิดขึ้น ก็อย่าไปถวายเงินแบบนั้นอีก ถึงจะคิดว่า เป็นการทำบุญก็ตาม พระพุทธเจ้า ทรงตรัสไว้ว่า เงินเป็นอสรพิษ จึงมีกฏห้ามพระ ห้ามครอบครองเงินเกิน ๑ มาสก

มีเรื่องหนึ่ง ที่เคยเกิดขึ้นกับวลัยพร นานมาแล้ว ตอนนั้นยังไม่รู้ชัดในสภาวะอื่นๆ ที่ยังมีอยู่

ตอนนั้น ยังเป็นคนชอบทำบุญ แม้มีเงินน้อย ก็หาทางที่จะได้เงินเพิ่ม เพื่อมาทำบุญ

ครั้งนั้น ได้ไปทำบุญที่สำนักสงฆ์ คือ ชาวบ้านเรียกวัด แต่ยังไม่มีการจดทะเบียนขึ้นเป็นวัด ยังคงมีป้ายติดไว้ว่า เป็นสำนักสงฆ์

วัดนี้ อยู่บนเขา แวดล้อมไปด้วยป่า ที่วลัยพรไปวัดนี้ เพื่อต้องการดูสถานที่ ตอนนั้น หาเงินทำบุญ โดยการไปซื้อผ้าห่ม ราคา ๖๕ บาท

ชวนคนทำบุญโดย ถ้าทำ ๑๐๐ บาท ได้ผ้าห่ม ๑ ผืน คนทำบุญร่วมด้วย ประมาณ ๒๐๐ คน หักต้นทุนออก นำเงินที่เหลือ และ ที่คนอื่นๆ ร่วทำมาทั้งหมด นำไปทำบุญ

ไปพักอยู่ที่วัด ๑ อาทิตย์ ปฏิบัติอยุ่นั่น ช่วงนั้นมีทอดกระฐิน ได้เงินทั้งหมด หลายแสน

ได้เห็นพฤติกรรมของพระเจ้าอาวาส การใช้เงินแบบไม่ควรใช้ของท่าน เช่น นำเงินไปซื้อมือถือ นำเงินแจกชาวบ้าน แบบไม่ควรให้

และนำเงินไปใช้ในทางอื่นๆ ที่ไม่ควรใช้ เช่น ไปจ้างชาวบ้าน ใช้รถไถ ไถป่าที่มีอยู่ แทนที่จะอนุรักษ์พื้นที่ป่าไว้ แค่มอง แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป

การประพฤติส่วนตัวของท่าน ไม่เคยเห็น ส่วนมากท่านเก็บตัวอยู่ในกุฏิ ที่สร้างขึ้นมาใหม่ หมดเงินแสนต้นๆ อันนี้ท่านเล่าให้ฟังเอง

หลังจากกลับมาแล้ว ไม่เคยกลับไปที่นั่นเอง และไม่เคยทำบุญที่นั่นอีก ถึงแม้พระจะโทรติดต่อมาก็ตาม

การถวายเงินกับพระ หากไม่จำเป็นจริงๆ จะไม่ถวาย แต่จะไปทำบุญด้านอื่นๆแทน เพราะการหยิบยื่นเงินให้กับพระ เท่ากับเราไปสนับสนุน ให้ท่านหลงในวังวนของกิเลส แล้วผู้กระทำล่ะ จะรอดไหม

ขนาดฆราวาสเอง บางคนเห็นเงิน ยังตาลุกวาวด้วยความอยากได้ เห็นใครรวย เห็นใครมี อยากรวย อยากมี ตามเขา บ้างก็ คุยโม้โอ้อวด แข่งดี แข่งเด่นทางโลกกัน มีแต่เรื่องของกิเลส มากกว่า การดับเหตุของการเกิด

จังหวะการเต้นของหัวใจ

๒๘ มีค.๕๗

เช้านี้ดูข่าว ช่วงข่าวบันเทิง มีผู้จัดรายการสองคนคุยกัน เป็นผู้หญิงกับผู้ชาย

ฝ่ายชม เอ่ยชื่นชมฝ่ายหญิงว่า ไปทำอะไร ผิวพรรณเนียน พร้อมกับเอามือไปลูบแขนฝ่ายหญิง

พิธีกรหญิงบอกว่า คงเป็นผลของสุขภาพ ไปเข้าคอสมาที่เยอรมัน หมอบอกว่า ตอนนี้จังหวะการเต้นของหัวใจ เหมือนอายุ ๑๕ ปี

พร้อมกับพูดต่อว่า สนนราคา ๑ ล้านบาท และบอกว่า รู้นะว่าจะถามอะไร

……..

เราฟังอยู่ พอดีเจ้านายออกมาจากห้องน้ำ เราบอกกับเจ้านายว่า ป๊าดดดด เสียเงินตั้งหนึ่งล้าน หัวใจเต้นแค่อายุ ๑๕ ปี

วลัยพรไม่ต้องเสียสักบาท เพียงทำความเพียรต่อเนื่อง จังหวะการเต้นหัวใจ เหมือนเด็กแรกเกิด คือ เคยนับจังหวะการเต้นของหัวใจ ช่วงที่เกิดสภาวะหัวใจเต้นแรง จับเวลาดูว่า๑ นาที เต้นกี่ครั้ง

หัวใจเด็กแรกเกิด จะเต้นตั้งแต่ ๑๔๐ ครั้งขึ้นไป ต่อ /๑ นาที (ใครทำงานห้องเด็กอ่อน น่าจะรู้เรื่องชีพจรของเด็กแรกเกิด)

ของวลัยพรที่จับได้ เต้นมากกว่า ๑๕๐ ครั้ง ต่อ ๑ นาที ระบบการหายใจ เดี่ยวนี้ เป็นคนหายใจช้า มักจะรู้ชัดถึง ขณะจิตเป็นสมาธิ เกิดขึ้นเนืองๆ

สมาธิที่เกิดขึ้น มากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่เหตุปัจจัย ไม่ได้ให้ความสำคัญ รู้แค่ว่าเกิดขึ้น คลายตัว หายไป เท่านั้นเอง เป็นความปกติของสภาวะ เป็นผลของเหตุจาก การทำความเพียรต่อเนื่อง

ถ้าใครสนใจ อยากมีสุขภาพดี มีหัวใจเต้นเหมือนเด็กแรกเกิด ไม่ต้องเสียเงินสักบาท ไม่ต้องไปต่างประเทศ ทำความเพียรปกตินี่แหละ

วิธีการทำความเพียร มีหลากหลายรูปแบบ ถ้ายังไม่มั่นใจ ให้ไปวัดก่อน เข้าบรรยากาศก่อน จนความศรัทธามั่นคง ทีนี้แหละ ทำเองได้ ไม่ต้องมีใครมาคอยกระตุ้นเตือน

ผลของการทำความเพียร นอกจากหัวใจเต้นเหมือนเด็กแรกเกิดแล้ว อาการของโรคที่เป็นอยู่ จะทุเลาเบาบางลง เช่น

วลัยพรเป็นภูมิแพ้ เป็นหวัด น้ำมูกเขียวทั้งปี ป่วยกระเสาะกระแสะ ทำอะไรก็เหนื่อยง่าย ตอนนี้อาการแบบนั้น หายไปหมด สุขภาพแข็งแรงดี

เพียงแต่อาการของกระดูก เป็นไปตามเหตุปัจจัย หากสุขภาพแข็งแรง กินอาหารเสริมส่วนที่ร่างกายขาด อาการปวดกล้ามเนื้อ หรือ อาการเจ็บป่วยทางร่างกาย จะค่อยๆดีขึ้นเอง ไม่ได้ไปหาหมอ ไม่ต้องกินยาคลายเส้น รักษาตามอาการ

อันนี้แล้วแต่เหตุปัจจัยของแต่ละคนด้วยนะ กรณีของวลัยพร พอดีมีความรู้เรื่องความเจ็บป่วย และการรักษาโรคที่เป็นอยู่ ทำให้ดูแลตัวเองได้ โดยไม่ต้องไปหาหมอ แต่รักษาไปตามอาการ และอาศัยการทำสมาธิ ช่วยรักษาความเจ็บป่วย ที่เป็นอยู่

การทำความเพียร(กรรมฐาน ในรูปแบบใดๆ ก็ได้) นอกจากเป็นเหตุปัจจัย ช่วยในด้านสุขภาพแล้ว

สิ่งที่สำคัญ ยิ่งกว่าสิ่งใด นั่นคือ ผลของการทำความเพียรต่อเนื่อง พร้อมทั้ง พยายามหยุดสร้างเหตุนอกตัว ที่เกิดจาก ผัสสะ เป็นเหตุปัจจัย

ผลของการสร้างเหตุแบบนี้ เป็นเหตุปัจจัยให้ ความเกิดขึ้นของภพชาติปัจจุบันสั้นลง และ การเวียนว่าย ตายเกิด ในวัฏฏสงสาร สั้นลง

โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสักบาทเดียว แต่เอาแรงใจเข้าสู้กับ เหตุปัจจัยที่มีอยู่ ได้แก่ ผัสสะ ที่เกิดขึ้น ทั้งภายนอก(สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งภายนอก(สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต)

และ ภายใน(สิ่งที่เกิดขึ้นภายใน ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่)

เรื่องของเหตุปัจจัย

๒๗ มีค.๕๗

บทจะให้รู้ชัดในสภาวะของคำเรียกนั้นๆ บทจะมาให้รู้ พอรู้แล้วว่า ตรงกับที่เคยเขียนไว้ เพียงแต่ ไม่มีรายละเอียดสภาวะที่เกิดขึ้นของคำเรียกนั้นๆ

รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ ในพระธรรมคำสอน รู้สึกว่า ดีนะที่แค่เขียน ไม่เคยคิดสอนใคร ไม่งั้นคงไม่ผ่านสภาวะอุปกิเลสมาได้ มามีสภาวะที่เป็นทุกวันนี้

คำอธิบาย ที่เคยเขียนไว้

เป็นเป็นผู้มีกายได้อบรมแล้ว
(พยายามไม่สร้างเหตุนอกตัว ที่เกิดขึ้นจากผัสสะ เป็นเหตุปัจจัย)

มาขยายรายละเอียดเพิ่ม

เป็นเป็นผู้มีกายได้อบรมแล้ว
(พยายามไม่สร้างเหตุนอกตัว ที่เกิดขึ้นจากผัสสะ เป็นเหตุปัจจัย)

อันนี้หมายถึงการ สำรวม สังวร ระวัง(เป็นเหตุให้ สภาวะศิล เกิดขึ้นตามความเป็นจริง)

ที่มีเหตุปัจจัยจาก ผัสสะ ที่เกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด(เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ)

ตามที่มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก

ก่อนนั้นท่านเจริญแล้ว แม้กายภาวนานั้น ไม่ประกอบด้วยธรรมในอริยวินัย ท่านยังไม่รู้จักแม้ กายภาวนา จักรู้จักจิตตภาวนาแต่ไหน

ดูกรอัคคิเวสสนะ บุคคลที่มีกายมิได้อบรมแล้ว มีจิตมิได้อบรมแล้ว
และที่มีกายอบรมแล้ว มีจิตอบรมแล้ว เป็นได้ด้วยเหตุอย่างไร

ท่านจงฟังเหตุนั้นเถิด จงทำไว้ในใจให้ดี เราจักกล่าว
สัจจกนิครนถ์ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว.

[๔๐๙] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอัคคิเวสสนะ ก็บุคคลที่มีกายมิได้อบรม มีจิตมิได้อบรม เป็นอย่างไร?

ดูกรอัคคิเวสสนะ ปุถุชนในโลกนี้ ผู้มิได้สดับ มีสุขเวทนาเกิดขึ้น เขาถูก
สุขเวทนากระทบเข้าแล้ว มีความยินดีนักในสุขเวทนา และถึงความเป็นผู้ยินดีนักในสุขเวทนา สุขเวทนาของเขานั้นย่อมดับไปเพราะสุขเวทนาดับ ก็มีทุกขเวทนาเกิดขึ้น เขาถูกทุกขเวทนากระทบเข้าแล้ว ก็เศร้าโศก ลำบากใจ รำพัน คร่ำครวญ ตบอก ถึงความหลงไหล

แม้สุขเวทนานั้นเกิดขึ้นแก่เขาแล้ว ก็ครอบงำจิตตั้งอยู่ เพราะเหตุที่มิได้อบรมกาย

แม้ทุกขเวทนาเกิดขึ้นแล้ว ก็ครอบงำจิตตั้งอยู่ เพราะเหตุที่มิได้อบรมจิต

ดูกรอัคคิเวสสนะ แม้สุขเวทนาเกิดขึ้น แก่ปุถุชนคนใดคนหนึ่ง ก็ครอบงำจิตตั้งอยู่ เพราะเหตุที่มิได้อบรมกาย แม้ทุกขเวทนาเกิดขึ้น ก็ครอบงำจิต
ตั้งอยู่ เพราะเหตุที่มิได้อบรมจิตทั้งสองอย่างดังนี้

ดูกรอัคคิเวสสนะ บุคคลที่มีกายมิได้อบรม มีจิตมิได้อบรม เป็นอย่างนี้แหละ.

ดูกรอัคคิเวสสนะ ก็บุคคลที่มีกายอบรมแล้ว มีจิตอบรมแล้วเป็นอย่างไร?
ดูกรอัคคิเวสสนะ อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ผู้ได้สดับ มีสุขเวทนาเกิดขึ้น เขาถูกสุขเวทนากระทบเข้าแล้ว ไม่มีความยินดีนักในสุขเวทนา และไม่ถึงความเป็นผู้ยินดีนักในสุขเวทนา สุขเวทนาของเขานั้นย่อมดับไป เพราะสุขเวทนาดับ ก็มีทุกขเวทนาเกิดขึ้น

เขาถูกทุกขเวทนากระทบเข้าแล้ว ก็ไม่เศร้าโศก ไม่ลำบากใจ ไม่รำพัน คร่ำครวญ ตบอก ไม่ถึงความหลงไหล

แม้สุขเวทนานั้น เกิดขึ้นแก่อริยสาวกแล้ว ก็ไม่ครอบงำจิตตั้งอยู่ เพราะเหตุที่ได้อบรมกาย แม้ทุกขเวทนาเกิดขึ้น ก็ไม่ครอบงำจิตตั้งอยู่ เพราะเหตุที่ได้อบรมจิต

ดูกรอัคคิเวสสนะ แม้สุขเวทนาเกิดขึ้น แก่อริยสาวกผู้ใดผู้หนึ่ง ก็ไม่ครอบงำจิตตั้งอยู่ เพราะเหตุที่ได้อบรมกาย แม้ทุกขเวทนาเกิดขึ้น ก็ไม่ครอบงำจิตตั้งอยู่ เพราะเหตุที่ได้อบรมจิตทั้งสองอย่างนี้ ดังนี้

ดูกรอัคคิเวสสนะ บุคคลที่มีกายอบรมแล้ว มีจิตอบรมแล้วเป็นอย่างนี้แหละ.

สัจจกนิครนถ์ทูลว่า เมื่อเป็นอย่างนี้ ข้าพเจ้าเลื่อมใสต่อพระโคดม เพราะพระโคดม มีกายอบรมแล้ว มีจิตอบรมแล้ว.

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/item.php?book=12&item=409&items=1&preline=5&pagebreak=1&mode=bracket

หมายเหตุ:

ความรู้ชัดในผัสสะที่เกิดขึ้น ว่าทำไม จึงเป็นเหตุปัจจัย ให้เกิด เวทนา
ได้ชื่อว่า เป็นผู้ที่มีกายอบรมแล้ว ตามที่พระองค์ ทรงตรัสไว้

ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้ ไม่สร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิด ที่เกิดขึ้นจาก ผัสสะ เป้นเหตุปัจจัย

เหตุปัจจัยจาก ความสังรวม สังระวัง ในการสร้างเหตุ(ศิล)
เป็นเหตุปัจจัยให้ จิตเกิดความตั้งมั่น เหตุปัจจัยจาก มีสติ สัมปชัญญะ รู้อยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น

Previous Older Entries

มีนาคม 2014
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31  

คลังเก็บ