จิตตปาริสุทธิ
การทำกรรมฐาน เพื่อให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ มี ๔ แบบ
๑. กายสักขี(สมถะที่เป็นสัมมาสมาธิ)
๒. หลุดพ้นด้วยปัญญา(วิปัสสนา)
๓. หลุดพ้นสองส่วน(สมถะและวิปัสสนา)
๔. ฟังธรรมว่าด้วยสัมมาทิฏฐิ เริ่มจากศิล สมาธิ
เพื่อละนิวรณ์ ๕ และทำกรรมฐาน
ใจของภิกษุปราศจากอุทธัจจะในธรรม
สมัยนั้น จิตนั้นย่อมตั้งมั่น สงบ ณ ภายใน
เป็นจิตเกิดดวงเดียว ตั้งมั่นอยู่ มรรคย่อมเกิดขึ้นแก่เธอ
เธอย่อมเสพ เจริญ กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
เมื่อเธอเสพ เจริญ กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
ย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้ อนุสัยย่อมสิ้นสุดดูกรอาวุโสทั้งหลาย บุคคลผู้ใดผู้หนึ่ง เป็นภิกษุหรือภิกษุณีก็ตาม
ย่อมพยากรณ์การบรรลุอรหัตในสำนักของเรา
ด้วยมรรค ๔ ประการนี้ โดยประการทั้งปวง
หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง บรรดามรรค ๔ ประการนี้ ฯ
๕. อนุคคหสูตร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิ อันองค์ ๕ อนุเคราะห์แล้ว
ย่อมเป็นธรรมมีเจโตวิมุติเป็นผล มีเจโตวิมุติเป็นผลานิสงส
และเป็นธรรมมีปัญญาวิมุติเป็นผล มีปัญญาวิมุติเป็นผลานิสงส์
องค์ ๕ เป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในธรรมวินัยนี้ สัมมาทิฐิ
อันศีลอนุเคราะห์แล้ว
อันสุตะอนุเคราะห์แล้ว
อันการสนทนาธรรมอนุเคราะห์แล้ว
อันสมถะอนุเคราะห์แล้ว
อันวิปัสสนาอนุเคราะห์แล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิอันองค์ ๕ เหล่านี้แล อนุเคราะห์แล้ว
ย่อมมีเจโตวิมุติเป็นผล มีเจโตวิมุติเป็นผลานิสงส์
และมีปัญญาวิมุตติเป็นผล มีปัญญาวิมุติเป็นผลานิสงส์ ฯ
สติวรรคที่ ๔
สติสูตร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อสติสัมปชัญญะมีอยู่
หิริและโอตตัปปะชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์
ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยสติและสัมปชัญญะ
เมื่อหิริและโอตตัปปะมีอยู่
อินทรียสังวรชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์
ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยหิริและโอตตัปปะ
เมื่ออินทรียสังวรมีอยู่
ศีลชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์
ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยอินทรียสังวร
เมื่อศีลมีอยู่
สัมมาสมาธิชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์
ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยศีล
เมื่อสัมมาสมาธิมีอยู่
ยถาภูตญาณทัสนะชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์
ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยสัมมาสมาธิ
เมื่อยถาภูตญาณทัสนะมีอยู่
นิพพิทาวิราคะชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์
ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยยถาภูตญาณทัสนะ
เมื่อนิพพิทา วิราคะมีอยู่
วิมุตติญาณทัสนะชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์
ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยนิพพิทาวิราคะ
เปรียบเหมือนต้นไม้ที่มีกิ่งและใบสมบูรณ์
แม้กะเทาะของต้นไม้นั้นก็ย่อมบริบูรณ์
แม้เปลือก แม้กระพี้ แม้แก่นของต้นไม้นั้น ก็ย่อมบริบูรณ์ ฉะนั้น ฯ
วิธีการปฏิบัติมี ๒ แบบ
๑. นั่งอย่างเดียว ใช้คำบริกรรม จนกระทั่งจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ มีโอภาสแสงสว่างมาก
จะเหลือสภาวะ ๒ อย่างปรากฏคือ ใจรู้อยู่กับโอภาส(แสงสว่าง)
ทำจนชำนาญ แล้วปรับอินทรีย์ ๕ โดยการเดินจงกรมก่อนนั่ง ตั้งเวลานั่งเท่าเดิม
ตั้งเวลาการเดินจงกรมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้ชัดผัสสะที่มีเกิดขึ้นขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ
ในรูปฌาน อรูปฌาน นิโรธ
ทำแบบนี้ต่อเนื่อง ทำทุกวัน
เมื่อรู้ชัดผัสสะที่มีเกิดขึ้นขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิในรูปฌาน อรูปฌาน นิโรธ
สติปัฏฐาน ๔ จึงมีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง
๒. เดินจงกรม ๑ ชม. ต่อนั่ง ๑ ชม. ทำแบบนี้ต่อเนื่อง
มีเวลามาก ทำบ่อยๆเดินและนั่งสลับไปมา
ถ้ามีเวลาน้อย ทำวันละครั้งก็ได้ อย่าหยุดทำ ให้ทำทุกวัน
เมื่อรู้ชัดผัสสะที่มีเกิดขึ้นขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิในรูปฌาน อรูปฌาน นิโรธ
สติปัฏฐาน ๔ จึงมีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง
ทำมาก(หลายรอบ) ทำน้อย(วันละครั้ง)
ผลที่ได้รับ ย่อมไม่เท่ากัน
ก็เหมือนการทำงาน แต่เป็นงานที่ทำแล้วจบ
ไม่ต้องใช้เงิน ใช้ความศรัทธา ใช้ความพยายาม(ทำต่อเนื่อง)
แรกๆอาจฝืนใจ พอทำบ่อยๆจนจิตชำนาญในสมาธิ อาการฝืนใจจะหายไปเอง
อีกอย่างจะเริ่มเห็นผลของการปฏิบัติทุกวัน
อะไรที่เคยคิดว่ามันแย่ๆที่มีเกิดขึ้นในชีวิต
ทุกสิ่งจะกลับมาดีขึ้น แย่ ดี เกิดขึ้นสลับกันไปมา
จนเห็นว่าทุกสิ่งที่มีเกิดขึ้นที่ว่าแย่หรือที่ว่าดี มันไม่เที่ยง คือคาดเดาไม่ได้
ทำให้ละความยึดมั่นถือมั่น จิตเริ่มปล่อยวาง เหตุนี้จึงทำให้ไม่เลิกการปฏิบัติ
กรณีเดินจงกรม ๑ ชม. ต่อนั่ง ๑ ชม.
สำหรับผู้ปฏิบัติเริ่มใหม่ เริ่มจากเดิน 10 นาที ต่อนั่ง 10 นาที ทำจนจิตเกิดความคุ้นเคย
จะทำกี่รอบก็ได้ กลางวัน กลางคืน หรือทั้งกลางวันและกลางคืน ทำได้หมด
เมื่อทำได้โดยไม่เลิกทำความเพียร
ให้เพิ่มเวลาการปฏิบัติ เดิน 15 นาที ต่อนั่ง 15 นาที ทำจนจิตคุ้นเคย จะทำกี่รอบก็ได้
กลางวัน กลางคืน หรือทั้งกลางวันและกลางคืน ทำได้หมด
เมื่อทำได้โดยไม่เลิกทำความเพียร
เพิ่มเวลาปฏิบัติจนเดิน 1 ชม. ต่อนั่ง 1 ชม. จะทำกี่รอบก็ได้
กลางวัน กลางคืน หรือทั้งกลางวันและกลางคืน ทำได้หมด
เมื่ออินทรีย์ ๕ มั่นคง
เพิ่มเวลาการปฏิบัติทั้งเดินจงกรมและนั่ง
จะทำให้รู้ชัดความดับเกิดรูปนามที่มีเกิดขึ้นตามจริง
ขณะเดินจงกรม
ขณะนั่ง จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิในรูปฌาน อรูปฌาน นิโรธ
ขณะเวทนากล้ามีเกิดขึ้น
ให้กำหนดตามความจริง
ไตรลักษณ์จะปรากฏ
ให้กำหนดตามจริง
อาจจะเกิดเนืองๆหรืออาจจะนานๆเกิด ก็ตาม
เป็นเรื่องปกติของสภาวะที่ดำเนินถูกตรงมรรค
สภาวะใดๆที่มีเกิดขึ้นขณะทำกรรมฐาน
ไม่นำเรื่องมรคผลเข้ามาเกี่ยวข้อง
เพราะเมื่อนำเรื่องมรรคผลเข้ามาเกี่ยวข้อง
ทำให้อุปกิเลสมีเกิดขึ้นอัตโนมัติ
จะทำให้ตัวสภาวะจะจมแช่เพียงแค่นั้น
———–
๑. ทำกรรมฐาน ใช้คำบริกรรม มีบัญญัติเป็นอารมณ์
เช่น พุทโธ พองหนอ ยุบหนอ กสิณ ฯลฯ
เรียกว่า สมถะ
ทำต่อเนื่องจนกระทั่งจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ
สัมมาสมาธิมีเกิดขึ้นตามจริง
เมื่อสัมมาสมาธิมีอยู่
ยถาภูตญาณทัสสนะชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์
ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยสัมมาสมาธิ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า กายสักขี ฯ
สัมมาสมาธิ
กามเหสสูตรที่ ๑
[๒๔๗] อุ. ดูกรอาวุโส พระผู้มีพระภาคตรัสว่า กายสักขีๆ ดังนี้
โดยปริยายเพียงเท่าไรหนอแล พระผู้มีพระภาคจึงตรัสกายสักขี ฯ
อา. ดูกรอาวุโส ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน
และอายตนะนั้นมีอยู่ด้วยอาการใดๆ เธอย่อมถูกต้องอายตนะนั้นด้วยกายด้วยอาการนั้นๆ
ดูกรอาวุโส โดยปริยายแม้เพียงเท่านี้แล พระผู้มีพระภาคตรัสกายสักขี ฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุ … บรรลุทุติยฌาน … ตติยฌาน … จตุตถฌาน …
และอายตนะนั้นมีอยู่ด้วยอาการใดๆ เธอย่อมถูกต้องอายตนะนั้นด้วยกายด้วยอาการนั้นๆ
ดูกรอาวุโส โดยปริยายแม้เพียงเท่านี้แล พระผู้มีพระภาคตรัสกายสักขี ฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุ … บรรลุอากาสานัญจายตนะ …
และอายตนะนั้นมีอยู่ด้วยอาการใดๆ เธอย่อมถูกต้องอายตนะนั้นด้วยกายด้วยอาการนั้นๆ
ดูกรอาวุโสโดยปริยายแม้เพียงเท่านี้แล พระผู้มีพระภาคตรัสกายสักขี ฯลฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุ … เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง
บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ และอาสวะทั้งหลายของเธอย่อมสิ้นไป เพราะเห็นด้วยปัญญา
และอายตนะนั้นมีอยู่ด้วยอาการใดๆ เธอย่อมถูกต้องอายตนะนั้นด้วยกายด้วยอาการนั้นๆ
ดูกรอาวุโส โดยนิปปริยายแม้เพียงเท่านี้แลพระผู้มีพระภาคตรัสกายสักขี ฯ
= อธิบาย =
“อาสวะทั้งหลายของเธอย่อมสิ้นไป เพราะเห็นด้วยปัญญา”
คำว่า อาสวะทั้งหลายของเธอย่อมสิ้นไป
ได้แก่ ละความยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕
คำว่า เพราะเห็นด้วยปัญญา
ได้แก่ ไตรลักษณ์
คำว่า อายตนะนั้นมีอยู่ด้วยอาการใดๆ เธอย่อมถูกต้องอายตนะนั้นด้วยกายด้วยอาการนั้นๆ
ได้แก่ รู้ชัดผัสสะที่มีเกิดขึ้นตามจริง ขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิในรูปฌาน อรูปฌาน นิโรธ
๒. ทำกรรมฐาน มีรูปนามเป็นอารมณ์
ได้แก่ กำหนดผัสสะที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง เช่น
หายใจเข้า รู้ลมหายใจเข้าตามความเป็นจริง
หายใจออก รู้ลมหายใจออก ตามความเป็นจริง
ขณะหายใจเข้า ท้องพอง รู้ตามความเป็นจริง
ขณะหายใจออก ท้องแฟ่บ รู้ตามความเป็นจริง
เรียกว่า วิปัสสนา
ทำต่อเนื่องจนกระทั่งจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ
สัมมาสมาธิมีเกิดขึ้นตามจริง
เมื่อสัมมาสมาธิมีอยู่
ยถาภูตญาณทัสสนะชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์
ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยสัมมาสมาธิ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า บุคคลหลุดพ้นด้วยปัญญา ฯ
สัมมาสมาธิ
กามเหสสูตรที่ ๒
[๒๔๘] อุ. ดูกรอาวุโส พระผู้มีพระภาคตรัสว่า บุคคลหลุดพ้นด้วยปัญญาๆ ดังนี้
ดูกรอาวุโส โดยปริยายเพียงเท่าไรหนอแล พระผู้มีพระภาคตรัสบุคคลหลุดพ้นด้วยปัญญา ฯ
อา. ดูกรอาวุโส ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน
และเธอย่อมทราบชัดด้วยปัญญา
ดูกรอาวุโส โดยปริยายแม้เพียงเท่านี้แลพระผู้มีพระภาคตรัสบุคคลหลุดพ้นด้วยปัญญา ฯลฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุ เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ
อาสวะทั้งหลายของเธอย่อมสิ้นไปเพราะเห็นด้วยปัญญา และเธอย่อมทราบชัดด้วยปัญญา
ดูกรอาวุโส โดยนิปปริยายแม้เพียงเท่านี้แล พระผู้มีพระภาคตรัสบุคคลหลุดพ้นด้วยปัญญา ฯ
= อธิบาย =
คำว่า อาสวะทั้งหลายของเธอย่อมสิ้นไป
ได้แก่ ละความยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕
คำว่า เพราะเห็นด้วยปัญญา
ได้แก่ ไตรลักษณ์
คำว่า เธอย่อมทราบชัดด้วยปัญญา
ได้แก่ รูปนาม
๓. ทำกรรมฐาน
ใช้คำบริกรรม มีบัญญัติเป็นอารมณ์(สมถะ)
ทำต่อเนื่องจนกระทั่งจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ
จิตละทิ้งคำบริกรรม มีรูปนามเป็นอารมณ์(วิปัสสนา)
สัมมาสมาธิมีเกิดขึ้นตามจริง
เมื่อสัมมาสมาธิมีอยู่
ยถาภูตญาณทัสสนะชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์
ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยสัมมาสมาธิ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่าบุคคลหลุดพ้นโดยส่วนสองๆ
สัมมาสมาธิ
กามเหสสูตรที่ ๓
[๒๔๙] อุ. ดูกรอาวุโส พระผู้มีพระภาคตรัสว่า บุคคลหลุดพ้นโดยส่วนสองๆ ดังนี้
ดูกรอาวุโส โดยปริยายเพียงเท่าไรหนอแล พระผู้มีพระภาคตรัสบุคคลหลุดพ้นโดยส่วนสอง ฯ
อา. ดูกรอาวุโส ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน
อายตนะนั้นมีอยู่ด้วยอาการใดๆ เธอย่อมถูกต้องอายตนะนั้นด้วยกายด้วยอาการนั้นๆ และย่อมทราบชัดด้วยปัญญา
ดูกรอาวุโส โดยปริยายแม้เพียงเท่านี้แล พระผู้มีพระภาคตรัสบุคคลหลุดพ้นโดยส่วนสอง ฯลฯ
กามเหสสูตรที่ ๓
อีกประการหนึ่ง ภิกษุ เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง
บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ
อาสวะทั้งหลายของเธอย่อมสิ้นไป เพราะเห็นด้วยปัญญา
อายตนะนั้นมีอยู่ด้วยอาการใดๆ
เธอย่อมถูกต้องอายตนะนั้นด้วยกายด้วยอาการนั้นๆ และย่อมทราบชัดด้วยปัญญา
ดูกรอาวุโส โดยนิปปริยายแม้เพียงเท่านี้แล พระผู้มีพระภาคตรัสบุคคลหลุดพ้นโดยส่วนสอง ฯ
= อธิบาย =
คำว่า อาสวะทั้งหลายของเธอย่อมสิ้นไป
ได้แก่ ละความยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕
คำว่า อายตนะนั้นมีอยู่ด้วยอาการใดๆ เธอย่อมถูกต้องอายตนะนั้นด้วยกายด้วยอาการนั้นๆ
ได้แก่ รู้ชัดผัสสะที่มีเกิดขึ้นตามจริง ขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิในรูปฌาน อรูปฌาน นิโรธ
คำว่า เธอย่อมทราบชัดด้วยปัญญา
ได้แก่ รูปนาม
๔. ฟังธรรมว่าด้วยสัมมาทิฏฐิ เริ่มจากศิล สมาธิ
เพื่อละนิวรณ์ ๕
ใจของภิกษุปราศจากอุทธัจจะในธรรม
สมัยนั้น จิตนั้นย่อมตั้งมั่น สงบ ณ ภายใน
เป็นจิตเกิดดวงเดียว ตั้งมั่นอยู่ มรรคย่อมเกิดขึ้นแก่เธอ
เธอย่อมเสพ เจริญ กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
เมื่อเธอเสพ เจริญ กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
ย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้ อนุสัยย่อมสิ้นสุด
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย บุคคลผู้ใดผู้หนึ่ง เป็นภิกษุหรือภิกษุณีก็ตาม
ย่อมพยากรณ์การบรรลุอรหัตในสำนักของเรา
ด้วยมรรค ๔ ประการนี้ โดยประการทั้งปวง
หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง บรรดามรรค ๔ ประการนี้ ฯ
บรรลุเร็ว บรรลุช้า ขึ้นอยู่กับ
๑. อินทรีย์ ๕
๒. อุปกิเลสของจิต(นิวรณ์ ๕)
๓. ขาดการศึกษาศิล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ
ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้
แก้ไข 16 สค. 64
แก้ไข 10 มีค. 65
๓. อุปนิสสูตร
ยถาภูตญาณทัสสนะ มีสมาธิเป็นที่อิงอาศัย
นิพพิทา มียถาภูตญาณทัสสนะเป็นที่อิงอาศัย
วิราคะ มีนิพพิทาเป็นที่อิงอาศัย
วิมุตติ มีวิราคะเป็นที่อิงอาศัย
ญาณในธรรมเป็นที่สิ้นไป มีวิมุตติเป็นที่อิงอาศัย ฯ
= อธิบาย =
สีลสูตร
ยถาภูตญาณทัสสนะชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์
ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยสัมมาสมาธิ
คำว่า สัมมาสมาธิ
ได้อธิบายไปแล้ววิธีการปฏิบัติทำให้สัมมาสมาธิมีเกิดขึ้นตามจริง
คำว่า ยถาภูตญาณทัสสนะ
ได้แก่ รู้ชัดผัสสะตามจริง
ที่มีเกิดขึ้นขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิในรูปฌาน อรูปฌาน นิโรธ
สติปัฏฐาน ๔ จึงมีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง
–
“เมื่อยถาภูตญาณทัสสนะมีอยู่
นิพพิทาวิราคะชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์
ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยยถาภูตญาณทัสสนะ”
คำว่า นิพพิทา
ได้แก่ ความเบื่อหน่าย
ไตรลักษณ์ปรากฏตามจริง
–
“เมื่อนิพพิทา วิราคะมีอยู่
วิมุตติญาณทัสสนะชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์
ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยนิพพิทาวิราคะ”
คำว่า วิราคะ
ได้แก่ ละความยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕
–
“วิราคะ มีวิมุตติญาณทัสนะเป็นผล
มีวิมุตติญาณทัสนะเป็นอานิสงส์”
คำว่า วิมุตติ
ได้แก่ สภาวะจิตดวงสุดท้ายปรากฏตามจริง แล้วดับ
คำว่า วิมุตติญาณทัสสนะ
ได้แก่ แจ้งอริยสัจ ๔
“ญาณในธรรมเป็นที่สิ้นไป มีวิมุตติเป็นที่อิงอาศัย ฯ”
คำว่า ญาณในธรรมเป็นที่สิ้นไป
ได้แก่ นิพพาน
คำว่า มีวิมุตติเป็นที่อิงอาศัย ฯ
ได้แก่
ไตรลักษณ์ ทุกข์
เวทนากล้าปรากฏตามความเป็นจริง
เกิดจากความยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕
สภาวะจิตดวงสุดท้าย ปรากฏตามความเป็นจริง แล้วดับ
ที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง ครั้งที่ ๑ ในโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล
ไตรลักษณ์ อนัตตา
เวทนากล้าปรากฏตามความเป็นจริง
เกิดจากความยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕
สิ่งที่มีเกิดขึ้น(ผัสสะ)กับใจที่รู้อยู่ แยกขาดออกจากกัน
เวทนาสักแต่ว่าเวทนาที่มีเกิดขึ้น กับใจที่รู้อยู่
สภาวะจิตดวงสุดท้าย ปรากฏตามความเป็นจริง แล้วดับ
ที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง ครั้งที่ ๒ ในอนาคามิมรรค อนาคามิผล
ไตรลักษณ์ อนิจจัง
เวทนาสักแต่ว่าเวทนาที่มีเกิดขึ้น รู้สึกแน่นๆที่หัวใจ
สภาวะจิตดวงสุดท้าย ปรากฏตามความเป็นจริง แล้วดับ
ที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง ครั้งที่ ๓ ในอรหัตมรรค อรหัตผล