ให้คำแนะนำ
วันนี้มีผู้ปฏิบัติโทรฯมาถามว่า เวลาเดินจงกรม จะคอยรู้ที่ลมหายใจ ไม่ค่อยรู้เท้า ทำแบบนี้ได้หรือไม่?
คำตอบคือ รู้อะไรก็ได้ แค่รู้อยู่ในกาย ใช้ได้ทั้งนั้น เมื่อใดที่สติ สัมปชัญญะดี จะรู้ชัดไปทั้งตัวเอง เท้าก้รู้ ลมหายใจก็รู้ กายก็รู้ จะรู้เอง เหตุที่จิตคอยไปวิ่งจับที่ลมหายใจ เนื่องจากเคยฝึกภาวนาด้วยการดูลมหายใจมาก่อน
ขอถามต่อว่า เวลาจับลมหายใจ จะชอบง่วงนอน
คำตอบ ง่วงก็ให้รู้ว่าง่วง ถ้าอยากจะนอนจริงๆก็นอนไปเลย ส่วนจะฝืนหรือไม่ฝืน อันนี้แล้วแต่ผู้ปฏิบัติเอง ไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัว
ขอถามต่อ พอรู้ว่าง่วง เคยลองนอน พอนอนลงไป มันก็ไม่หลับ ตากลับสว่าง หายง่วง
คำตอบ มันไม่มีอะไรหรอก กิเลสทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องไปหาวิธีการอะไร หาวิธีการคนที่ทุกข์ก็คือตัวเราเอง พึงระวังความอยากที่แทรกอยู่ จริงๆแล้วสภาวะมันเปลี่ยนตลอดเวลา ง่วงมั่ง ไม่ง่วงมั่ง ช่างมัน
ขอถามต่อ อะไรเกิดขึ้น ให้แค่รู้ใช่ไหมคะ?
คำตอบ ค่ะ ถ้าทำได้ ถ้ายังทำไม่ได้ จิตมันคิดอะไรก็ให้รู้ไปตามนั้น ใหม่ๆจะเป็นแบบนี้แหละ
หมายเหตุ:-
สภาวะนี้เจอมากับตัวเอง เรียกว่าเดินย่ำจนจำสภาวะได้หมด อันนี้เล่าสู่กันฟัง อาจจะมีสภาวะที่เหมือนหรือไม่เหมือนกันก็ได้ แต่ที่แน่นอนคือ ไม่มีอะไรเที่ยง สภาวะสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา
เมื่อก่อน เวลาเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิจะชอบง่วง ก็หาวิธีการน่ะสิ ทำยังไงถึงจะไม่ให้ง่วง ลองทุกรูปแบบ สุดท้ายคือ ง่วงมั่ง ไม่ง่วงมั่ง ล้วนคาดเดาเอาเอง ว่าต้องเกิดจากเพราะเหตุนั้น เหตุนี้ คาดเดาตลอด ตอนนั้นสติยังไม่มากพอที่จะมองเห็นกิเลสที่เข้ามาแทรก กิเลสที่เป็นกุศล อยากทำความเพียรจ่อเนื่อง พยายามไม่ให้ง่วง มองไม่เห็นจริงๆนะ ความอยาก
ก็ทำไมต้องไปหาวิธีการด้วยล่ะ ความอยากในใจที่เกิดขึ้นดูทันไหม? ส่วนมากคือไม่ทันกันซะมากกว่า เพราะกิเลสความอยากที่เป็นกุศลนี้จะมีสภาวะที่ละเอียดมากกว่ากิเลสที่เป็นอกุศล
บางคนอาจจะพูดว่า ก็พระพุทธเจ้ายังทรงให้ลองทุกวิธีเลย ถ้าไม่ไหวจริงๆให้นอนไปเลย
อ่ะ มาพิจรณากัน สภาวะนี้ทำให้เกิดตัวปัญญานะ ถ้ารู้จักคิดพิจรณาหรือเจอกับสภาวะนี้บ่อยๆ แล้วพยายามแก้ไขสภาวะ
ทำไมพระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้ทำแบบนั้นล่ะ
เพราะพระองค์ทรงต้องการให้เรียนรู้สภาวะด้วยตัวเอง รู้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้เชื่อในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสไปทุกอย่าง ควรคิดพิจรณาด้วยตนเองกันมั่ง
สภาวะไม่ว่าจะเดินแล้วง่วง หรือนั่งแล้วง่วงก็ตาม บางคนอาจจะมองว่า เพราะกินอิ่มไปไหม? เพราะเหนื่อยหรือเปล่า? เพราะดึกแล้วหรือเปล่า?ฯลฯ มีแต่คำว่าเพราะๆๆๆๆๆ อย่างนั้น อย่างนี้ จริงไหม? มีแต่การให้ค่า การคาดเดาสภาวะ
แท้จริงแล้ว ตัวสภาวะเขามาสอนตลอดเวลา มันเที่ยงไหม เวลานี้อาจจะง่วง ก็คาดเดาละว่า เพราะดึกไปไหม? วันต่อไปทำแต่วัน ยังง่วงอีก อ้าวหาเหตุอื่นๆต่อว่าอาจจะเพราะอย่างนั้น อย่างนี้
นี่นะ สภาวะเหล่านี้ เจอกับตัวเองมาหมดแล้ว ไม่งั้นจะพูดไม่ได้แบบเต็มปาก เดินจงกรมน่ะ เดินเป็นพันๆกิโลได้แล้วกระมัง ไม่รู้กี่พันกี่หมื่นกิโลละ ถ้าคนทำทุกวันจะเข้าใจนะ
ทำจนเรียกว่า จดจำทุกๆสภาวะได้หมด เลิกให้ค่าแล้ว เดินแล้วง่วงเหรอ ไม่ต้องหาคำตอบหรือหาเหตุอะไรเลย ไม่ต้องไปหาว่าง่วงเพราะอะไร เปลี่ยนอิริยาบททันที
ถ้าเดินไปสักพักต่อแล้วยังง่วงอีก จะเดินไปที่โซฟา นั่งต่อเลย ไม่ก็นั่งที่พื้นน่ะแหละ ที่ไหนได้ พอนั่งลงปั๊บ ก้นยังไม่ทันสัมผัสพื้น จิตเป็นสมาธิทันที นี่เห้นไหม ไปคาดเดาไม่ได้ บางทีเป็นสมาธิทีหลายชั่วโมง เราก็นั่งรู้ไปแบบนั้นแหละ
ประเภทเดินแล้วเกิดความคิดอีกอย่าง อันนี้แล้วแต่อุบายของแต่ละคนนะ เจอมาเยอะแล้ว เดินแล้วคิดๆๆๆๆ บางทีคิดจนเวียนหัว มันจะคิดอะไรนักหนา กำหนดคิดหนอๆๆๆ ก็แล้ว ยังไม่ยอมหยุดคิดสักที ตอนหลังเลิกกำหนด แต่ดู และรู้ว่าคิด แล้วมาสนใจในกายต่อ ดูลมมั่ง เท้ามั่ง มือขยับไปมามั่ง สุดท้ายความคิดหายไปเอง
ก็เราไปสนใจมันเอง ยิ่งสนใจ สภาวะความคิดยิ่งแผลงฤทธิ์ คิดก็ให้รู้ว่าคิด ไม่ต้องไปปฏิเสธ ยอมรับไป แล้วมารู้ที่เท้ากำลังเดิน หรือจะรู้ลมหายใจ หรือจะรู้กายส่วนอื่นๆ ให้รู้อยู่ในกายนี่แหละ พอมันเห็นเราไม่สนใจ ความคิดจะหายไปเอง รู้ไปแบบนี้แหละ สภาวะจะเกิดสลับไปสลับมา ก็ยังมีกิเลสนี่นะ ความคิดย่อมมีเป็นเรื่องธรรมดา
ถ้าบางคนถนัดกำหนด ก็กำหนดไป ไม่มีอะไรถูกหรือผิดหรอก เหตุของแต่ละคนสร้างมาแตกต่างกันไป อุบายที่ใช้ในการรักษาจิต จึงแตกต่างกันไป
อ้อ … เวลาต้องการให้สภาวะไหนเกิดชัด เช่นเดินจงกรม ต้องการให้รู้เท้าชัด ควรถามตอบตัวเองด้วยว่า ที่ต้องการให้รู้ชัดน่ะ รู้ชัดไปเพื่ออะไร พึงระวังกิเลสให้ดีๆ มันเข้าแทรกได้ตลอดเวลา ทำเพราะความอยาก แต่ไม่รู้ว่าอยาก